คุณควรบริโภคเข้าไปนั่นแหละ ที่เขาว่ากันว่าจะสวยได้ก็ต้องมาจากภายใน และอาหารที่คุณควรบิโภคเพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนกระชับได้ยาวนาน ก็คืออาหารที่เป็นแหล่งให้โปรตีนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ นม เนยหรือว่าไม่ นั่นเอง แต่ทั้งนั้น อย่าให้ขาดสีเขียวของผักด้วยก็แล้วกัน
เป็นผิวพรรณที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะสามาถเกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำได้โดยง่าย การใช้ครีมบำรุงทาเป็นประจำ ก็พอจะช่วยบรรเทาอาการได้แต่อาหารที่คุณควรเลือกกินเพื่อไปต้านกับริ้วรอย ไม่ให้เกิดขึ้นได้ง่ายก็คือหอมหัวใหญ่นั่นเอง ขอให้คุณไม่เขี่ยมันออกจากจาน และกินเข้าไปให้หมดทุกครั้ง จะเป็นการดีต่อสุขภาพผิวอย่างที่สุด
เพราะกระแสศัลยกรรมมาแรงเหลือเกิน โดยเฉพาะประเทศเกาหลีที่มีการศัลยกรรมติดอันดับต้นๆ ดังนั้นสาวไทยหัวใจกิมจิจึงอยากสวยแบ๊วกันยกใหญ่ ถึงขั้นทุ่มเทซื้อทัวร์ศัลยกรรมเรือนแสนเพื่ออัพให้ตัวเองสวยเด้งทั้งนี้ แพทย์ได้ออกโรงเตือนแล้วว่้าการศัลยกรรมเหมือนสาวเกาหลีนั้น อาจจะไม่สวยอย่างที่ใจคิดหรอกนะ
นพ. จอง อิน ซอน ซึ่งเป็นที่ปรีกษาด้านศัลยกรรม เผยว่า เคยมีคนไข้ประเภทที่มาถึงก็ยื่นรูปนักแสดงให้อยู่เหมือนกัน ซึ่งพอเจออย่างนั้นก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจเรื่องศัลยกรรมกันใหม่ตั้งแต่ก้น เพราะคนชอบคิดว่าเมื่อก่อนดาราไม่สวยแต่เดี๋ยวนี้สวยเพราะศัลยกรรม ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเมื่อก่อนไม่สวยเดี๋ยวนี้ก็สวยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเบสิกเขาสวยมาแล้ว มาแก้นิดเดียวก็ดูดีเพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าเขาสวยเพราะศัลยกรรม มันไม่ใช่เลย สำหรับคนที่คิดจะมาทัวร์ศัลยกรรม เรื่ีองฝีมือสำคัญมากๆ ของอย่างนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้มันไม่ใช่การทำขนมปังนะ ถ้าจะทำก็เช็คให้ดีว่าทำกับใคร ฝีมือขนาดไหนประสบการณ์เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือความคิดของตัวเอง ห้ามคิดว่าการทำศัลยกรรมคือการปรับเป็นคนใหม่ เพราะศัีลยกรรมคือเสริมไม่ใช่เปลี่ยน
ดังนั้นก่อนจะศัลยกรรมควรคิดให้รอบคอบ เพราะถ้าเกิดทำมาไม่สวยถูกใจ คุณก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
นพ. จอง อิน ซอน ซึ่งเป็นที่ปรีกษาด้านศัลยกรรม เผยว่า เคยมีคนไข้ประเภทที่มาถึงก็ยื่นรูปนักแสดงให้อยู่เหมือนกัน ซึ่งพอเจออย่างนั้นก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจเรื่องศัลยกรรมกันใหม่ตั้งแต่ก้น เพราะคนชอบคิดว่าเมื่อก่อนดาราไม่สวยแต่เดี๋ยวนี้สวยเพราะศัลยกรรม ซึ่งไม่จริง เพราะถ้าเมื่อก่อนไม่สวยเดี๋ยวนี้ก็สวยไม่ได้ แต่เป็นเพราะเบสิกเขาสวยมาแล้ว มาแก้นิดเดียวก็ดูดีเพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าเขาสวยเพราะศัลยกรรม มันไม่ใช่เลย สำหรับคนที่คิดจะมาทัวร์ศัลยกรรม เรื่ีองฝีมือสำคัญมากๆ ของอย่างนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้มันไม่ใช่การทำขนมปังนะ ถ้าจะทำก็เช็คให้ดีว่าทำกับใคร ฝีมือขนาดไหนประสบการณ์เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือความคิดของตัวเอง ห้ามคิดว่าการทำศัลยกรรมคือการปรับเป็นคนใหม่ เพราะศัีลยกรรมคือเสริมไม่ใช่เปลี่ยน
ดังนั้นก่อนจะศัลยกรรมควรคิดให้รอบคอบ เพราะถ้าเกิดทำมาไม่สวยถูกใจ คุณก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ซึ่งความจริงแล้วมีวิธีสังเกตง่ายๆ นั่นคือการที่ใบหน้ามีเส้นเลือดฝอยที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ผิวหน้าเสื่อมสภาพลงก็เนื่องมาจากการขัดถูใบหน้า อย่างรุงแรงในขณะที่ล้างหน้าหรือทาครีมบำรุงผิว การที่ผิวได้รับมลภาวะต่างๆ และแสงแดดเป็นเวลานานๆ โดยที่ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF น้อยกว่า 30 การทานยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวหรือที่ผิวมันก็มีส่วนทำให้ผิวหน้าบางลงได้ เช่นกัน ส่วนการรับประทานอาหารที่ผิดหลักโภชนาการ เช่น อาหารที่มีรสจัด โดยเฉพาะรสเปรี้ยวรสเค็มซึ่งจะมีผลทำให้เส้นเลือดฝอยแตกง่ายและเกิดริ้วรอย ถาวร ที่สำคัญคือการที่ร่างกายได้รับปริมาณแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในปริมาณที่มาก เกินความจำเป็น เหล่านี้อาจเป็นปัญหาที่ทำให้ผิวหน้าบางลงและไม่มีความยืดหยุ่น เนื่องจากคอลาเจนและอีลาสตินถูกทำลายซึ่งสัญญาณเตือนที่บ่งบอกได้ว่าผิวสวยๆ ของคุณกำลังประสบกับปัญหาก็เช่นว่า รูขุมขนกว้่างมากขึ้นนั่นแสดงว่าเซลล์ผิวเริ่มเหี่ยวย่นลง สาเหตุอาจจะเป็นไปตามวัยที่มากขึ้นหรือการที่ดูแลผิวหน้าผิดวิธี ถ้าผิวหน้าหยาบกร้านหมองคล้ำนั่นเกิดจากเซลล์ผิวถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ส่วนผิวที่แห้งจนผิดปกติแสดงว่าต่อมไขมันไม่ทำงาน จึงทำให้มีน้ำมันตามธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงผิวมากเกินไปก็จะทำให้เกิดปัญหา หน้ามันและสิวตามมา
เวลากินองุ่นสาวๆคายเม็ดทิ้งกันหรือเปล่า? ใครที่ตอบว่าใช่เตรียมร้องไห้ได้เลย เพราะคุณเพิ่มจะคายของดีที่สุดทิ้งไปซะแล้ว!! เม็ดองุ่นเม็ดเดียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซี ถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า การคายเม็ดออกมาจึงเท่ากับคายตัวยาที่จะช่วยให้คุณมีผิวสวย ลดริ้วรอย ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ ป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาด้วย....ไม่ต้องไปซื้อสารสกัดจากเมล็ดองุ่นให้ เปลืองเงินกินเม็ดสดๆ นี่ล่ะเวิร์คสุดยอดค่ะ
เนื้อ ปลาแซลมอนเต็มไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โปรตีน และวิตามินเอ ซึ่งจำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของเกลือแร่ที่สำคัญอย่างแคลเซียมฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซิลีเนียม และสังกะสี
หากกินแซลมอลร่วมกับ ผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้ นอกจากนี้่กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังช่วยลดเครียด ลดผื่นแพ้ได้ด้วย
ความต่างระหว่างแซลมอนตามธรรมชาติและเลี้ยงในฟาร์ม
แซลมอน ที่เลี้ยงในฟาร์มจะออกกำลังกายน้อยกว่า จึงมีโปรตีนน้อยกว่าและมีไขมันสูงกว่าแต่ถึงอย่างนั้นก็แตกต่างกันในปริมาณ เล็กน้อยเท่านั้น
หากกินแซลมอลร่วมกับ ผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้ นอกจากนี้่กรดไขมันโอเมก้า 3 ยังช่วยลดเครียด ลดผื่นแพ้ได้ด้วย
ความต่างระหว่างแซลมอนตามธรรมชาติและเลี้ยงในฟาร์ม
แซลมอน ที่เลี้ยงในฟาร์มจะออกกำลังกายน้อยกว่า จึงมีโปรตีนน้อยกว่าและมีไขมันสูงกว่าแต่ถึงอย่างนั้นก็แตกต่างกันในปริมาณ เล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนของใบหน้า นับว่าเป็นส่วนที่มีปัญหา และเป็นส่วนที่เราต้่องดูแลและเอาใจใส่มากที่สุด ดังนั้นเราจึงต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ของใบหน้า ซึ่งปัญหาเหล่านั้นเราสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ดังนี้
รูขะมขนกว้าง
โดยมากแล้ว บริเวณที่รูขุมขนกว้างจะอยู่บริเวณจมูกและข้างจมูก โดยสาเหตุเกิดจากการที่ต่อมไขมันโตกว่าปกติ วิธีแก้ก็คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของ AHA จะช่วยบำรุงให้รูขุมขนเล็กลงได้
ริ้วรอย
ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องริ้วรอยจะเป็นปัญหาหนักสำหรับเราๆเพราะการเกิดริ้ว รอยแต่ละรอยก็สร้างความหนักใจให้กับเราไม่น้อยเลยทีเดียว สาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยก็ได้แก่
* ริ้วรอยจากแสงแดด เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศเมืองร้อน แสงแดดจึงแก่จัดและทำลายคอลลาเจนในผิว ทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นๆ วิธีแก้ไขก็คือ ใช้ครีมที่ป้องกันรังสียูวี และหลีกเลี่ยวการอยู่ใต้แดดเวลา 10.00-16.00 น. เพราะว่าแดดช่วงนั้นเป็นแดดที่แรงและเกิดอันตรายแก่ผิวได้
* ริ้วรอยจากสีหน้า การแสดงสีหน้าบ่อยๆ ทำให้หน้าของเราเกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องพยายามอย่าแสดงสีหน้าจนโอเวอร์เกินไปนัก เพราะจะทำใ้หเกิดริ้วรอยได้ง่าย
* ริ้วรอยที่เกิดขึ้นเพราะรอยกดท้บ ตอนที่เราหลับนั้นเราอาจนอนทับหน้า หลายครั้งเข้าก็เกิดริ้วรอยขึ้นได้ ท่าที่ดีที่สุดในการนอนก็คือการนอนหงาย เพราะไม่ไปกดทับส่วนใดของใบหน้าให้เกิดริ้วรอย
* ริ้วรอยตามกาลเวลา ริ้วรอยนี้จะเกิดขึ้นเมื่ออายุขึ้นเลข 3 เราจึงต้องบำรุงดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยมาก
คงไม่มีใครยากจะมีริ้วรอยใบหน้า เพราะว่าริ้วรอยบนใบหน้า เพราะว่าริ้วรอยก็ย่อมแสดงถึงอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรดูแลรักษาและบำรุงใบหน้าของเราให้ไม่เกิดริ้วรอยก่อนวัย
รูขะมขนกว้าง
โดยมากแล้ว บริเวณที่รูขุมขนกว้างจะอยู่บริเวณจมูกและข้างจมูก โดยสาเหตุเกิดจากการที่ต่อมไขมันโตกว่าปกติ วิธีแก้ก็คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของ AHA จะช่วยบำรุงให้รูขุมขนเล็กลงได้
ริ้วรอย
ดูเหมือนว่าปัญหาเรื่องริ้วรอยจะเป็นปัญหาหนักสำหรับเราๆเพราะการเกิดริ้ว รอยแต่ละรอยก็สร้างความหนักใจให้กับเราไม่น้อยเลยทีเดียว สาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยก็ได้แก่
* ริ้วรอยจากแสงแดด เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศเมืองร้อน แสงแดดจึงแก่จัดและทำลายคอลลาเจนในผิว ทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นๆ วิธีแก้ไขก็คือ ใช้ครีมที่ป้องกันรังสียูวี และหลีกเลี่ยวการอยู่ใต้แดดเวลา 10.00-16.00 น. เพราะว่าแดดช่วงนั้นเป็นแดดที่แรงและเกิดอันตรายแก่ผิวได้
* ริ้วรอยจากสีหน้า การแสดงสีหน้าบ่อยๆ ทำให้หน้าของเราเกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นเราจึงต้องพยายามอย่าแสดงสีหน้าจนโอเวอร์เกินไปนัก เพราะจะทำใ้หเกิดริ้วรอยได้ง่าย
* ริ้วรอยที่เกิดขึ้นเพราะรอยกดท้บ ตอนที่เราหลับนั้นเราอาจนอนทับหน้า หลายครั้งเข้าก็เกิดริ้วรอยขึ้นได้ ท่าที่ดีที่สุดในการนอนก็คือการนอนหงาย เพราะไม่ไปกดทับส่วนใดของใบหน้าให้เกิดริ้วรอย
* ริ้วรอยตามกาลเวลา ริ้วรอยนี้จะเกิดขึ้นเมื่ออายุขึ้นเลข 3 เราจึงต้องบำรุงดูแลผิวหน้าเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยมาก
คงไม่มีใครยากจะมีริ้วรอยใบหน้า เพราะว่าริ้วรอยบนใบหน้า เพราะว่าริ้วรอยก็ย่อมแสดงถึงอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรดูแลรักษาและบำรุงใบหน้าของเราให้ไม่เกิดริ้วรอยก่อนวัย
สิวเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่พึงปรารถนาให้เกิดขึ้นบนใบหน้ามากที่สุดเพราะว่า สิวนอกจากจะทำให้ใบหน้าดูไม่งดงามแล้ว ยังทำให้เราสูญเสียความมั่นใจไปอีกต่างหาก
สิวเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่มีสาเหตุหลักๆ 2 ประการที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของคนที่เป็นสิวคือ
1. การหมักหมมของสิ่งสกปรก
2.ฮอร์โมน
เรื่องการหมักหมมของสิ่งสกปรกเราแก้ไขได้โดยการล้างหน้าทำความสะอาด และล้างเครื่องสำอางทุกครั้งหลังจากกลับถึงบ้านหรือว่าก่อนนอน นอกจากนี้ผมที่ตกมาที่ใบหน้า หรือว่าที่หน้าผากก็มีส่วนทำให้เกิดสิว เพราะผมก็เป็นตัวหนึ่งที่เก็บกักฝุ่นละออง และความสกปรกเอาไว้
สิวเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุผลหลายประการ แต่มีสาเหตุหลักๆ 2 ประการที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของคนที่เป็นสิวคือ
1. การหมักหมมของสิ่งสกปรก
2.ฮอร์โมน
เรื่องการหมักหมมของสิ่งสกปรกเราแก้ไขได้โดยการล้างหน้าทำความสะอาด และล้างเครื่องสำอางทุกครั้งหลังจากกลับถึงบ้านหรือว่าก่อนนอน นอกจากนี้ผมที่ตกมาที่ใบหน้า หรือว่าที่หน้าผากก็มีส่วนทำให้เกิดสิว เพราะผมก็เป็นตัวหนึ่งที่เก็บกักฝุ่นละออง และความสกปรกเอาไว้
หากว่าเรามีปัญหาเรื่องสิว กรดวิตามินเอจะช่วยเราได้ เพราะช่วยลดการสร้างน้ำมันของผิว และลดการอุดตันของสิวอีกด้วย แต่เราก็ต้องทนกับอาการข้างเคียงของการใช้กรดวิตามินเอในการรักษาผิวซึ่งอาจ จะทำให้ผิวหนังของเราลอกและแดง ดังนั้นหากว่าเราเลิกใช้กรดวิตามินเอ ก็ต้องดุแลโดยการใช้ครีมกันแดด จนกว่าผิวจะกลับมาเป็นแบบเดิม
นอกจากช่วยเรื่องสิวแล้ว กรดวิตามินเอ ยังช่วยในเรื่องของการสร้างคอลลาเจน ทำใ้ห้ผิวไม่มีริ้วรอยและนุ่มลื่น พร้อมทั้งเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ลบเลือนริ้วรอยที่อยู่บริเวณบนผิวหน้า และผิวหนัง
นอกจากช่วยเรื่องสิวแล้ว กรดวิตามินเอ ยังช่วยในเรื่องของการสร้างคอลลาเจน ทำใ้ห้ผิวไม่มีริ้วรอยและนุ่มลื่น พร้อมทั้งเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิว ลบเลือนริ้วรอยที่อยู่บริเวณบนผิวหน้า และผิวหนัง
ทุกคนก็คงรู้กันดีว่าวิตามินอี เป็นวิตามินที่มีอประโยชน์ต่อผิวพรรณของเรา และในปัจจุบันนี้วิตามินอีก็ได้ถูกสกัดนำมาไว้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณต่างๆ ปกติแล้ววิตามินอีจะอยู่ในอาหาร จำพวก ผัก ผลไม้ ธัญพืช น้ำมันพืช นม ถั่ว เนยเทียม แป้งสาลี เป็นต้น
ประโยชน์ของวิตามินอีที่มีต่อผิวพรรณและสุขภาพของเราก็คือ
1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดูสวยใสและเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิม
2. สามารถลบเลือน หรือว่้าทำให้รอยไหม้แดง อักเสบ รอย ช้ำ และแผลเป็นดูจางลงกว่าเดิม
3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
4. ลดโอกาสของการเป็นมะเร็งผิวหนัง
ในแต่ละวัน เราควรรับประทานวิตามินอีประมาณ 100 มิลลิกรัมเพราะหากรับวิตามินอีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่้อ ร่างกายเช่นกัน และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้วิตามมินอี เพืื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง
ประโยชน์ของวิตามินอีที่มีต่อผิวพรรณและสุขภาพของเราก็คือ
1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวพรรณดูสวยใสและเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิม
2. สามารถลบเลือน หรือว่้าทำให้รอยไหม้แดง อักเสบ รอย ช้ำ และแผลเป็นดูจางลงกว่าเดิม
3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
4. ลดโอกาสของการเป็นมะเร็งผิวหนัง
ในแต่ละวัน เราควรรับประทานวิตามินอีประมาณ 100 มิลลิกรัมเพราะหากรับวิตามินอีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่้อ ร่างกายเช่นกัน และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้วิตามมินอี เพืื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง
1. ใช้ยาทา ยาทาจะช่วยลดการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติและทำให้กระดูจางลง ยาทาชนิดนี้ก็คือ AHA และวิตามินเอ
2. ยาแต้ม ยาแต้มจะเข้าไปทำลายผิวหนังในระดับที่ไม่ลึกมากทำให้ผิวหนังหลุดออกไป แต่ก็มีข้อเสียก็คือ จะทิ้งจุดด่างดำเอาไว้ให้เราต้องปวดหัวใจอีกรอบ
3. ใช้เลเซอร์ วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยมเพราะได้ผลเร็ว เลเซอร์จะช่วยทำให้กระจางลงและสร้างผิวใหม่ขึ้นมา หากว่าไปตากแดด
ในบางครั้งกระก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหามาก เพราะกระสามารถกลบด้วยแป้งทาหน้า ทำให้มองไม่เห็นกระที่อยู่บนใบหน้า หรือว่าทำให้จางลงไปได้
2. ยาแต้ม ยาแต้มจะเข้าไปทำลายผิวหนังในระดับที่ไม่ลึกมากทำให้ผิวหนังหลุดออกไป แต่ก็มีข้อเสียก็คือ จะทิ้งจุดด่างดำเอาไว้ให้เราต้องปวดหัวใจอีกรอบ
3. ใช้เลเซอร์ วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยมเพราะได้ผลเร็ว เลเซอร์จะช่วยทำให้กระจางลงและสร้างผิวใหม่ขึ้นมา หากว่าไปตากแดด
ในบางครั้งกระก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหามาก เพราะกระสามารถกลบด้วยแป้งทาหน้า ทำให้มองไม่เห็นกระที่อยู่บนใบหน้า หรือว่าทำให้จางลงไปได้
กระเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สาวๆ ต่างเป็นกังวล กระมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลคล้ายๆ กับฝ้า แต่ว่าเล็กกว่ามาก และเกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้า จึงรักษาได้ง่ายกว่าฝ้ามาก
1. แสงแดด
2. กรรมพันธุ์
3. การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน อย่างเช่น ตั้งครรภ์ เป็นต้น
การป้องกันกระก็เหมือนกับการป้องกันฝ้า ก็คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระ โดยใช้ครีมกันแดดที่่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อการปกป้องที่ดียิ่งขึ้น
1. แสงแดด
2. กรรมพันธุ์
3. การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน อย่างเช่น ตั้งครรภ์ เป็นต้น
การป้องกันกระก็เหมือนกับการป้องกันฝ้า ก็คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระ โดยใช้ครีมกันแดดที่่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อการปกป้องที่ดียิ่งขึ้น
เพราะเมื่อเวลาผ่านไม่ผิวก็เสื่อมเหมือนอวัยวะส่วนต่างอื่นๆ การผลิตเปลี่ยนเซลล์ผิวก็ช้าลง ผิวหนาหยาบกร้านเพิ่มขึ้น เกิดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ ก็ตามมา นอกจากวันที่เปลี่ยนแปลงแล้วการใช้ชีวิตและการดำรงชีวิตทุกอย่างก็ส่งผล กระทบโดยตรงต่อผิว ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหาร ขาดการออกกำลังกาย การผักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แสงแดด ฝุ่น ควันต่าง ๆ ทั้งการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือโรคประจำตัว รอยแผลเป็นจากสิวเหล่านี้มีส่วนร่วมที่ทำให้สุขภาพผิวพรรณเราเสื่อมโทรมลง เร็วกว่าปกติ
ถึงแม้เราไม่สามารถหยุดเวลาที่เป็นสาเหตุสำคัญของการ เสื่อมสภาพของผิวได้ การหลีกเลี่ยงต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบโดยตรงกับผิว และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติในการบำรุงผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยปกป้องและช่วยให้มีการผลัดผิวเป็นไปตาม ธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และสกัดกั้นความแก่ของผิว
สารสกัดจากอ้อย (Biolac)
Biolac เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ได้จากนำน้ำอ้อยไปหมักในสภาวะสูญญาการเพื่อให้ได้สารสกัดธรรมชาติที่เป็น สาร AHA (Alpha Hydroxy Acid) ที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า AHA ทั่ว ๆ ไป โดยคุณสมบัติของ Biolac นี้สามารถละลายน้ำได้ดี และไม่ละลายในไขมัน ดังนั้นจึงซึมสู่ผิวได้ดีและช่วยเร่งการผลิตเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอก ออกไปทำให้เซลลฺผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ส่งผลให้ รอยหมองคล้ำจางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวเต่งตึง สดใสขึ้น และช่วยลดรอยด่างดำ กระฝ้า ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจลในชั้นหนังแท้ทำให้ผิวแข็งแรง ป้องกันการเกิดริ้วรอยได้อีกด้วย Biolac นั้นมีประสิทธิภาพในการผลัดผิวใกล้เคียงกับสาร BHA (Beta Hydroxy Acid) แต่มีความระคายเคืองผิวต่ำกว่า สาร BHA มาก
สารกกัดจากขมิ้นชัน THC (Tetrahydrocy Curcuminoid)
ประกอบ ด้วยสาระสำคัญประเภทเคอร์คูมินอยด์เป็นสารสีเหลืองประกอบด้วยเคอร์คูมิน (THC) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเพื่อช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวจาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษต่าง ๆ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และทำให้ผิวหน้าขาว เนียนสวย เปล่งประกายความสดใส รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระคายเคืองลดการก่อตัวของเชื้อแบคทีเรีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารสกัดจากใบบัว (Centella Asiatica Extract)
ใบ บัวบก (Gotu Kola) จะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซีเดชั่น (Anitoxdation) ซึ่งส่งผลให้ลดความเสื่อมของเซลล์ผิวได้ นอกจากนี้ยังช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวเป็นอย่างดี จึงเสริมความยืดหยุ่นกระชับผิว ปกป้องและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดรอยหมอง คล้ำ คืนความสดใสให้กับผิวที่อ่อนแอได้เป็นอย่างดี
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
สารสกัด จากเมล็ดองุ่นจะมีปริมาณโอพีซี (OPC) สูง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระจึงทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เนียนกระชับ ช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้ลดอาการแพ้สิ่งต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอางและ ริ้วรอยแห่งวัยก็จางหาย
สารสกัดจากไหนข้าวโพด (Corn Silk Extract)
สารสกัด จากเมล็ดองุ่นจะมีประมาณโอพีซี (OPC) สูง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระจึงลดการแก่ก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจึงทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เนียนกระชับ ช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้ลดอาการแพ้สิ่งต่างๆ จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอาง และ ริ้วรอยแห่งวัยก็จางหาย
สารสกัดจากไหมข้าวโพด (Corn Silk Erract)
ไหม ข้าวโพด จะมีสารแอลคาลอยด์ที่ชื่อกรดแมซีนิก (Maiznic acid) ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการแพ้และการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว จึงช่วยให้ผิวขาวเรียบเนียนสดใส เปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา
อ้วน.com http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum
ถึงแม้เราไม่สามารถหยุดเวลาที่เป็นสาเหตุสำคัญของการ เสื่อมสภาพของผิวได้ การหลีกเลี่ยงต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบโดยตรงกับผิว และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติในการบำรุงผิว ก็เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยปกป้องและช่วยให้มีการผลัดผิวเป็นไปตาม ธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และสกัดกั้นความแก่ของผิว
สารสกัดจากอ้อย (Biolac)
Biolac เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ได้จากนำน้ำอ้อยไปหมักในสภาวะสูญญาการเพื่อให้ได้สารสกัดธรรมชาติที่เป็น สาร AHA (Alpha Hydroxy Acid) ที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า AHA ทั่ว ๆ ไป โดยคุณสมบัติของ Biolac นี้สามารถละลายน้ำได้ดี และไม่ละลายในไขมัน ดังนั้นจึงซึมสู่ผิวได้ดีและช่วยเร่งการผลิตเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอก ออกไปทำให้เซลลฺผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ส่งผลให้ รอยหมองคล้ำจางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวเต่งตึง สดใสขึ้น และช่วยลดรอยด่างดำ กระฝ้า ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจลในชั้นหนังแท้ทำให้ผิวแข็งแรง ป้องกันการเกิดริ้วรอยได้อีกด้วย Biolac นั้นมีประสิทธิภาพในการผลัดผิวใกล้เคียงกับสาร BHA (Beta Hydroxy Acid) แต่มีความระคายเคืองผิวต่ำกว่า สาร BHA มาก
สารกกัดจากขมิ้นชัน THC (Tetrahydrocy Curcuminoid)
ประกอบ ด้วยสาระสำคัญประเภทเคอร์คูมินอยด์เป็นสารสีเหลืองประกอบด้วยเคอร์คูมิน (THC) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดีเพื่อช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผิวจาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษต่าง ๆ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และทำให้ผิวหน้าขาว เนียนสวย เปล่งประกายความสดใส รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระคายเคืองลดการก่อตัวของเชื้อแบคทีเรีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สารสกัดจากใบบัว (Centella Asiatica Extract)
ใบ บัวบก (Gotu Kola) จะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฎิกิริยาออกซีเดชั่น (Anitoxdation) ซึ่งส่งผลให้ลดความเสื่อมของเซลล์ผิวได้ นอกจากนี้ยังช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวเป็นอย่างดี จึงเสริมความยืดหยุ่นกระชับผิว ปกป้องและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยลดรอยหมอง คล้ำ คืนความสดใสให้กับผิวที่อ่อนแอได้เป็นอย่างดี
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)
สารสกัด จากเมล็ดองุ่นจะมีปริมาณโอพีซี (OPC) สูง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระจึงทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เนียนกระชับ ช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้ลดอาการแพ้สิ่งต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอางและ ริ้วรอยแห่งวัยก็จางหาย
สารสกัดจากไหนข้าวโพด (Corn Silk Extract)
สารสกัด จากเมล็ดองุ่นจะมีประมาณโอพีซี (OPC) สูง มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระจึงลดการแก่ก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินจึงทำให้ผิวพรรณเต่งตึง เนียนกระชับ ช่วยลดการอักเสบของผิว ทำให้ลดอาการแพ้สิ่งต่างๆ จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอาง และ ริ้วรอยแห่งวัยก็จางหาย
สารสกัดจากไหมข้าวโพด (Corn Silk Erract)
ไหม ข้าวโพด จะมีสารแอลคาลอยด์ที่ชื่อกรดแมซีนิก (Maiznic acid) ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการแพ้และการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว จึงช่วยให้ผิวขาวเรียบเนียนสดใส เปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา
อ้วน.com http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum
ในยุคของการพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาสินค้าไทย พัฒนาสมุนไพร สถาบันการแพทย์แผนไทยได้เผยแพร่ความรู้อยู่เสมอว่า ภูมิปัญญาพื้นบ้านในด้านสมุนไพรไทย ได้ถูกลืมไปชั่วระยะหนึ่งเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของคนไทยไปสู่ สินค้าต่างประเทศ สินค้านำเข้า ทำให้เสียดุลการค้ากับต่างประเทศ ไปเป็นจำนวนมาก ในทางตรงข้ามเป็นที่สังเกตว่า คนต่างประเทศกลับสนใจภูมิปัญญาไทย สนใจสมุนไพรไทย ถึงกับมีการจ้างปลูก มีการลักลอบนำพืชสมุนไพรไทยออกนอกประเทศ เพื่อการค้นคว้าและผลิตยาใหม่ ๆ กลับมาขายคนไทยในราคาแพง
เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดข้างต้นนั้น สถาบันการแพทย์แผนไทยได้จัดการประชุมเสนอผลงานทางวิชาการด้านแพทย์แผนไทยไป บ้างแล้ว ซึ่งในการประชุมครั้งที่ผ่านมาในปี 2543 นั้น เน้นการเสนอผลงานทางวิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทยที่น่าสนใจ ควรนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวคิด และจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ผลิตสมุนไพรไทย ต่อไปมีดังนี้
1. ลูกใต้ใบ ตามภูมิปัญญาไทยแต่ดั้งเดิมใช้รักษาอาการไข้ รักษาโรคตับ จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าลูกใต้ใบไม่มีพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังป้องกันพิษต่อตับขอพาราเซตตามอลในสัตว์ทดลอง ซึ่งจะต้องศึกษาวิจัยในคนต่อไป
2. ขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านไทยคลายเครียด พบสารสำคัญ คือ บาราคอล ผลการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถทำให้หลั่งสารสำคัญชื่อ 5-HT ในคนปกติที่มีความเครียดจะหลั่งสารชนิดนี้น้อย ซึ่งคนที่กินแกงขี้เหล็กจะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก ปัจจุบันมีการใช้ขี้เหล็กมาทำเป็นยานอนหลับกันมาก ข้อควรระวัง การนำขี้เหล็กมาใส่แคปซูลโดยตรงไม่เหมือนกับคนโบราณที่กินเป็นอาหารโดยการ ต้มและนำมาแกงนั้น ก็อาจจะทำให้มีพิษต่อตับได้ ดังนั้น ควรกินแบบอาหารโดยการต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาแกง และไม่ควรกินติดต่อกันทุกวัน ซึ่งผลการวิจัยนี้จะมีประโยชน์ในการทำยาอย่างปลอดภัยต่อประชาชนต่อไป
3. โลดทะนงแดง ต้านพิษงูเห่าในสัตว์ทดลอง ได้ สมุนไพรโลดทะนงแดงในสมัยโบราณมีการนำมาใช้กับผู้ที่ถูกงูพิษกัด แต่เนื่องจากยังขาดข้อมูลที่เป็น วิทยาศาสตร์มาสนับสนุน เพราะการได้รับพิษงูนั้นเป็นอันตรายเกินไปและเป็นการเสี่ยงที่จะแนะนำให้ ใช้ในคน แต่จากการทดลองพบว่า สมุนไพรโลดทะนงแดงสามารถยืดอายุการตายของหนูที่ได้รับพิษงูเห่าได้ แต่มิได้หมายถึงว่าหนูรอดตาย ผลการวิจัยนี้ยืนยันว่าสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อพิษงูเห่า ข้อแนะนำในการนำมาใช้กับคนซึ่งเป็นการเสี่ยงมาก จึงขอแนะนำให้รักษาแบบแผนปัจจุบัน คือ การรับเซรุ่ม หรือการใช้กรณี ผสมผสานหรือในภาวะเร่งด่วน เช่น ช่วงระหว่างการเดินทางในชนบท พื้นที่ที่ห่างไกลโรงพยาบาลอาจจะนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้กับผู้ป่วยได้ แต่ต้องแนะนำให้รีบ ไปโรงพยาบาลเพื่อรับเซรุ่ม เพราะพิษงูเป็นอันตราย ต่อระบบประสาท ระบบการหายใจ อาจเสียชีวิตได้ถ้ารักษาไม่ถูกวิธีซึ่งในการศึกษาวิจัยจะต้องมีการพัฒนาก้าว ต่อไป
4. สมุนไพรไทยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยแตกต่างไปจากเดิมมาก ทำให้ได้รับสารอนุมูลอิสระเข้าในร่างกาย มากเกินความจำเป็น เช่น ผู้ที่ชอบกินของปิ้ง ย่าง เผา กินผักผลไม้ที่มีสารพิษทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง นักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย รศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ได้นำเอาสมุนไพรไทยไปทดสอบสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ใบชะพลู สีเสียด กานพลู ชาแห้ง ใบชาสด เปลือกต้นสะเดา ชาจีน หม่อน เมล็ดมะขาม สมอพิเภก เป็นต้น ดังนั้นข้อแนะนำในการรับประทาน อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ ผักพื้นบ้านไทยหาง่าย สามารถป้องกันโรคได้ คนไทยควรกินผักผลไม้มาก ๆ ทุก ๆ วัน เพื่อให้ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ และควรกินผัก พื้นบ้านหลากหลายที่มีอยู่ตามท้องถิ่น และตามฤดูกาล
5. หญ้าหวาน ผลการวิจัยหญ้าหวานพบว่า สารสกัดอย่างหยาบของหญ้าหวานไม่มีผลต่อการก่อ กลายพันธุ์ ไม่มีผลต่อการเป็นหมันทั้งในระยะเฉียบ พลัน หรือเรื้อรัง และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ของสมรรถภาพ ตับ ไต และค่าทางโลหิตวิทยา ในแง่ของการส่งเสริมพัฒนาสมุนไพร กอปรกับประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเร่งดำเนินการเพื่อนำหญ้าหวานและอนุญาตให้ใช้หญ้าหวานแทนสารที่ให้ความ หวานสังเคราะห์จากต่างประเทศ จะ ทำให้ประหยัดเงินมิให้รั่วไหลในต่างประเทศได้อีก ทางหนึ่ง
6. หญ้าหนวดแมว สมุนไพรทางเลือกช่วย ผู้ป่วยนิ่วในไต หญ้าหนวดแมวเป็นพืชที่ปลูกอยู่ทั่วไปตามบ้าน มีดอกขาวสวย ออกดอกเกือบทั้งปี จึงเป็น ไม้ประดับที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีคุณค่าทางการรักษาเกสรตัวผู้ยื่นยาวออกมานอกกลีบดอก ทำให้มีลักษณะคล้ายหนวดแมว จึงมีคนเรียกพืชชนิดนี้ว่า หญ้าหนวดแมว หญ้าหนวดแมวเป็นพืชที่ปลูกง่ายนิยมปลูกโดยการปักชำหรือใช้เมล็ด ขึ้นง่าย เติบโตเร็ว ปลูกเป็นแปลงผัก หรือปลูกในกระถาง หญ้าหนวดแมวมีชื่อพื้นเมือง เช่น พยัพเมฆ, บางรักป่า, อีตู่ดง สารสำคัญในใบของหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมในปริมาณสูง 0.7-0.8%
ฤทธิ์และประโยชน์ทางยาของหญ้าหนวดแมว คือ ใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ใบอ่อนใช้เป็นยา ขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากมีเกลือ โพแทสเซียมมาก หญ้าหนวดแมวใช้รักษานิ่วได้ทั้งนิ่วด่างซึ่งเกิดจากแคลเซียม (หินปูน) ซึ่งมักจะเป็นก้อน ที่เกิดจากการดื่มน้ำที่มีหินปูน และใช้รักษานิ่วกรดซึ่งเกิดจากกรดยูริก นิ่วจำนวนนี้จะไม่เป็นก้อนแต่จะร่วนเป็นเม็ดทราย ไม่ทึบแสง มักเกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์มากเกินไป ทำให้มีกรดยูริกสูง เมื่อรับประทานหญ้าหนวดแมวซึ่งมีโพแทสเซียมสูงจะทำให้ในกรดมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้กรดยูริกและ เกลือยูเรต (urate) ไม่จับตัวเป็นก้อน ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการปวด หญ้าหนวดแมวไม่มีฤทธิ์ละลายนิ่ว ดังนั้นนิ่วก้อนใหญ่จะไม่ได้ผลแต่จะใช้ได้ดีกับนิ่วก้อนเล็ก ๆ ฤทธิ์ขับปัสสาวะของหญ้าหนวดแมวจะช่วยดันเม็ดนิ่วเล็ก ๆ ให้หลุดออกมา
วิธีการใช้ ให้ใช้ยอดอ่อนซึ่งมีใบอ่อน 2-3 ใบ ควรเก็บช่วงที่หญ้าหนวดแมวกำลังออกดอก แต่ไม่ใช้ดอก ใช้ยอดอ่อนและใบอ่อนนำมาหั่นเป็น ท่อนสั้น ๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วใช้ 1 หยิบมือ (2 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มขณะร้อน ๆ วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร และต้องดื่มน้ำตามมาก ๆ
ขอเน้นว่าหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูง จึงไม่ควรใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ ควรใช้การชงใบอ่อนแห้งดังกล่าวแล้ว ไม่ใช้ใบแก่ เพราะอาจมีสาร ละลายออกมากเกินไป อาจมีฤทธิ์กดหัวใจ ต้องไม่ใช้ ใบสด เพราะอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ ใจสั่น และไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน.นายแพทย์สุรพงษ์ อำพันวงษ์
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดข้างต้นนั้น สถาบันการแพทย์แผนไทยได้จัดการประชุมเสนอผลงานทางวิชาการด้านแพทย์แผนไทยไป บ้างแล้ว ซึ่งในการประชุมครั้งที่ผ่านมาในปี 2543 นั้น เน้นการเสนอผลงานทางวิชาการด้านการแพทย์แผนไทย การวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทยที่น่าสนใจ ควรนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวคิด และจุดเริ่มต้นสำหรับผู้ผลิตสมุนไพรไทย ต่อไปมีดังนี้
1. ลูกใต้ใบ ตามภูมิปัญญาไทยแต่ดั้งเดิมใช้รักษาอาการไข้ รักษาโรคตับ จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าลูกใต้ใบไม่มีพิษต่อตับ นอกจากนี้ยังป้องกันพิษต่อตับขอพาราเซตตามอลในสัตว์ทดลอง ซึ่งจะต้องศึกษาวิจัยในคนต่อไป
2. ขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านไทยคลายเครียด พบสารสำคัญ คือ บาราคอล ผลการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสามารถทำให้หลั่งสารสำคัญชื่อ 5-HT ในคนปกติที่มีความเครียดจะหลั่งสารชนิดนี้น้อย ซึ่งคนที่กินแกงขี้เหล็กจะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก ปัจจุบันมีการใช้ขี้เหล็กมาทำเป็นยานอนหลับกันมาก ข้อควรระวัง การนำขี้เหล็กมาใส่แคปซูลโดยตรงไม่เหมือนกับคนโบราณที่กินเป็นอาหารโดยการ ต้มและนำมาแกงนั้น ก็อาจจะทำให้มีพิษต่อตับได้ ดังนั้น ควรกินแบบอาหารโดยการต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาแกง และไม่ควรกินติดต่อกันทุกวัน ซึ่งผลการวิจัยนี้จะมีประโยชน์ในการทำยาอย่างปลอดภัยต่อประชาชนต่อไป
3. โลดทะนงแดง ต้านพิษงูเห่าในสัตว์ทดลอง ได้ สมุนไพรโลดทะนงแดงในสมัยโบราณมีการนำมาใช้กับผู้ที่ถูกงูพิษกัด แต่เนื่องจากยังขาดข้อมูลที่เป็น วิทยาศาสตร์มาสนับสนุน เพราะการได้รับพิษงูนั้นเป็นอันตรายเกินไปและเป็นการเสี่ยงที่จะแนะนำให้ ใช้ในคน แต่จากการทดลองพบว่า สมุนไพรโลดทะนงแดงสามารถยืดอายุการตายของหนูที่ได้รับพิษงูเห่าได้ แต่มิได้หมายถึงว่าหนูรอดตาย ผลการวิจัยนี้ยืนยันว่าสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์ต่อพิษงูเห่า ข้อแนะนำในการนำมาใช้กับคนซึ่งเป็นการเสี่ยงมาก จึงขอแนะนำให้รักษาแบบแผนปัจจุบัน คือ การรับเซรุ่ม หรือการใช้กรณี ผสมผสานหรือในภาวะเร่งด่วน เช่น ช่วงระหว่างการเดินทางในชนบท พื้นที่ที่ห่างไกลโรงพยาบาลอาจจะนำสมุนไพรชนิดนี้มาใช้กับผู้ป่วยได้ แต่ต้องแนะนำให้รีบ ไปโรงพยาบาลเพื่อรับเซรุ่ม เพราะพิษงูเป็นอันตราย ต่อระบบประสาท ระบบการหายใจ อาจเสียชีวิตได้ถ้ารักษาไม่ถูกวิธีซึ่งในการศึกษาวิจัยจะต้องมีการพัฒนาก้าว ต่อไป
4. สมุนไพรไทยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคอาหารของคนไทยแตกต่างไปจากเดิมมาก ทำให้ได้รับสารอนุมูลอิสระเข้าในร่างกาย มากเกินความจำเป็น เช่น ผู้ที่ชอบกินของปิ้ง ย่าง เผา กินผักผลไม้ที่มีสารพิษทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง นักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดย รศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ได้นำเอาสมุนไพรไทยไปทดสอบสารต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ใบชะพลู สีเสียด กานพลู ชาแห้ง ใบชาสด เปลือกต้นสะเดา ชาจีน หม่อน เมล็ดมะขาม สมอพิเภก เป็นต้น ดังนั้นข้อแนะนำในการรับประทาน อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ ผักพื้นบ้านไทยหาง่าย สามารถป้องกันโรคได้ คนไทยควรกินผักผลไม้มาก ๆ ทุก ๆ วัน เพื่อให้ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระ และควรกินผัก พื้นบ้านหลากหลายที่มีอยู่ตามท้องถิ่น และตามฤดูกาล
5. หญ้าหวาน ผลการวิจัยหญ้าหวานพบว่า สารสกัดอย่างหยาบของหญ้าหวานไม่มีผลต่อการก่อ กลายพันธุ์ ไม่มีผลต่อการเป็นหมันทั้งในระยะเฉียบ พลัน หรือเรื้อรัง และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ของสมรรถภาพ ตับ ไต และค่าทางโลหิตวิทยา ในแง่ของการส่งเสริมพัฒนาสมุนไพร กอปรกับประเทศไทยกำลังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเร่งดำเนินการเพื่อนำหญ้าหวานและอนุญาตให้ใช้หญ้าหวานแทนสารที่ให้ความ หวานสังเคราะห์จากต่างประเทศ จะ ทำให้ประหยัดเงินมิให้รั่วไหลในต่างประเทศได้อีก ทางหนึ่ง
6. หญ้าหนวดแมว สมุนไพรทางเลือกช่วย ผู้ป่วยนิ่วในไต หญ้าหนวดแมวเป็นพืชที่ปลูกอยู่ทั่วไปตามบ้าน มีดอกขาวสวย ออกดอกเกือบทั้งปี จึงเป็น ไม้ประดับที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีคุณค่าทางการรักษาเกสรตัวผู้ยื่นยาวออกมานอกกลีบดอก ทำให้มีลักษณะคล้ายหนวดแมว จึงมีคนเรียกพืชชนิดนี้ว่า หญ้าหนวดแมว หญ้าหนวดแมวเป็นพืชที่ปลูกง่ายนิยมปลูกโดยการปักชำหรือใช้เมล็ด ขึ้นง่าย เติบโตเร็ว ปลูกเป็นแปลงผัก หรือปลูกในกระถาง หญ้าหนวดแมวมีชื่อพื้นเมือง เช่น พยัพเมฆ, บางรักป่า, อีตู่ดง สารสำคัญในใบของหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมในปริมาณสูง 0.7-0.8%
ฤทธิ์และประโยชน์ทางยาของหญ้าหนวดแมว คือ ใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ใบอ่อนใช้เป็นยา ขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากมีเกลือ โพแทสเซียมมาก หญ้าหนวดแมวใช้รักษานิ่วได้ทั้งนิ่วด่างซึ่งเกิดจากแคลเซียม (หินปูน) ซึ่งมักจะเป็นก้อน ที่เกิดจากการดื่มน้ำที่มีหินปูน และใช้รักษานิ่วกรดซึ่งเกิดจากกรดยูริก นิ่วจำนวนนี้จะไม่เป็นก้อนแต่จะร่วนเป็นเม็ดทราย ไม่ทึบแสง มักเกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์มากเกินไป ทำให้มีกรดยูริกสูง เมื่อรับประทานหญ้าหนวดแมวซึ่งมีโพแทสเซียมสูงจะทำให้ในกรดมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้กรดยูริกและ เกลือยูเรต (urate) ไม่จับตัวเป็นก้อน ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการปวด หญ้าหนวดแมวไม่มีฤทธิ์ละลายนิ่ว ดังนั้นนิ่วก้อนใหญ่จะไม่ได้ผลแต่จะใช้ได้ดีกับนิ่วก้อนเล็ก ๆ ฤทธิ์ขับปัสสาวะของหญ้าหนวดแมวจะช่วยดันเม็ดนิ่วเล็ก ๆ ให้หลุดออกมา
วิธีการใช้ ให้ใช้ยอดอ่อนซึ่งมีใบอ่อน 2-3 ใบ ควรเก็บช่วงที่หญ้าหนวดแมวกำลังออกดอก แต่ไม่ใช้ดอก ใช้ยอดอ่อนและใบอ่อนนำมาหั่นเป็น ท่อนสั้น ๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วใช้ 1 หยิบมือ (2 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ 5-10 นาที ดื่มขณะร้อน ๆ วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร และต้องดื่มน้ำตามมาก ๆ
ขอเน้นว่าหญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูง จึงไม่ควรใช้กับคนที่เป็นโรคหัวใจ ควรใช้การชงใบอ่อนแห้งดังกล่าวแล้ว ไม่ใช้ใบแก่ เพราะอาจมีสาร ละลายออกมากเกินไป อาจมีฤทธิ์กดหัวใจ ต้องไม่ใช้ ใบสด เพราะอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ ใจสั่น และไม่ควรใช้ร่วมกับยาแอสไพริน.นายแพทย์สุรพงษ์ อำพันวงษ์
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
เห็นขึ้นต้นอย่างนี้ไม่ใช่ว่า การดื่มชาต้องดื่มภายใน 1 นาที จึงจะมีประโยชน์ หากเป็นเช่นนั้นอรรถรสในการดื่ม "ชา" เครื่องดื่มในความนิยมของหลายๆ คน หลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม ที่แสนจะพิถีพิถัน อาจคลายมนต์เสน่ห์ของช่วงเวลาจิบน้ำชายามบ่ายไปเลยทีเดียว
"นาที เดียว" จึงเป็นหัวใจสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการชงชา กรรมวิธีการชง "ชา" เสน่ห์สำคัญที่ชวนหลงใหล ทั้งผู้ชงและผู้ชิม ความละเมียดละไมในแต่ละลำดับขั้นตอนในการชง
หลายครั้งที่เราได้รับฟังถึงคุณประโยชน์มากล้นของใบชา ชะลอความชรา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกายป้องกันโรคมะเร็ง ทั้งยังรักษาโรคในหลอดเลือดหัวใจเสริมสร้างและปกป้องระบบอวัยวะที่ทำหน้าที่ ย่อยอาหารและระบบขับถ่ายปัสสาวะ คงประสิทธิภาพในการช่วยรักษาเซลล์ผิวเยื่อตา ทั้งมีประสิทธิภาพในการลดความอ้วน และช่วยประเทืองความงาม สรรพคุณต่างๆ ล้วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพของร่างกายได้สารพัดโรคก็ว่าได้ แต่ประโยชน์เหล่านั้นจะได้มาอย่างไร หากเราไม่รู้จักวิธีการนำชามาใช้ให้ถูกต้อง
เริ่มตั้งแต่การเลือกหาภาชนะที่เหมาะสมในการชงชา ควรเลือกชนิดที่ทำด้วยดินเผา เพราะจะทำให้น้ำชาที่ได้มีรสชาติ กลิ่น และคุณภาพดีที่สุด และควรลวกกาดินเผาด้วยน้ำร้อน 1 ครั้ง จากนั้นใส่ใบชาประมาณ 1/3-1/4 ของปริมาตรกา หรือตามแต่ความชอบแต่ละคน ต่อจากนั้นเติมน้ำร้อนอุณหภูมิ 90-100 องศาเซลเซียส รินใส่กาชาจนเต็ม ทิ้งไว้เพียง 10 วินาที แล้วรินน้ำนั้นทิ้งจนหมดทันที การทำเช่นนี้เพื่ออุ่นกาชา และให้ใบชาตื่นตัว
หลังจากนั้น ใช้น้ำร้อนรินใส่กาน้ำจนเต็มอีกครั้งแล้วปิดฝากา รอประมาณ 50-60 วินาที แล้วรินดื่มได้เลย การรินชาแต่ละครั้งต้องรินให้หมดกา และควรรินใส่แก้วกลาง จากนั้นจึงแบ่งรินใส่แก้ว สำหรับดื่มต่อไป เพื่อจะได้รสชาติที่สม่ำเสมอทุกแก้ว
เกร็ดเล็กๆ ที่ควรระมัดระวังในการชงชา ไม่ควรใส่ใบชามากเกินไป เพราะจะทำให้การคลายตัวของใบชาไม่เต็มที่ รสชาติที่ได้จะไม่สมบูรณ์ ส่วนน้ำที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเดือด แค่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เป็นใช้ได้ เมื่อชงแล้วควรเทน้ำชาออกจากกาให้หมด ถ้าไม่หมดจะทำให้น้ำชามีรสขม ฝาดมากขึ้นและเสียรสชาติ
นอกจากนั้น ความพิถีพิถันในการเก็บรักษาชาที่ยังไม่ได้ชงก็เกี่ยวพันกับอรรถรส และคุณประโยชน์เช่นกัน ทุกครั้งที่เปิดซองเพื่อนำชามาชง ควรรีบปิดซองนั้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อากาศหรือกลิ่นเข้าไปทำให้กลิ่นชาเสีย
หากปฏิบัติตามกรรมวิธีที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เราได้ดื่มชาดี มีคุณประโยชน์อย่างครบครัน เพียงอย่าเผลอดื่มน้ำชาค้างคืน หรือดื่มชาที่ทิ้งใบชาแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป เพราะโปรตีนในน้ำชาไม่สามารถป้องกันตนเองได้ เมื่อมีเชื้อโรคมาผสมจึงง่ายต่อการเปลี่ยนสภาพ
ที่สำคัญไม่ควรดื่มชาขณะท้องว่าง เพราะน้ำชาอาจจะเข้าไปย่อยกระเพาะแทน เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย และไม่ควรดื่มน้ำชาพร้อมกับยา เนื่องจากน้ำชามีความเป็นกรดอยู่ในตัว ถ้าดื่มน้ำชาพร้อมกับยา ความเป็นกรดของชาจะไปทำลายคุณสมบัติของยาได้ จึงควรทานยาหลังจากดื่มชาไปแล้ว 2 ชั่วโมง จะดีที่สุด
อ้วน.com ขอขอบคุณ - แนวหน้า
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
"นาที เดียว" จึงเป็นหัวใจสำคัญที่อยู่ในขั้นตอนการชงชา กรรมวิธีการชง "ชา" เสน่ห์สำคัญที่ชวนหลงใหล ทั้งผู้ชงและผู้ชิม ความละเมียดละไมในแต่ละลำดับขั้นตอนในการชง
หลายครั้งที่เราได้รับฟังถึงคุณประโยชน์มากล้นของใบชา ชะลอความชรา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกายป้องกันโรคมะเร็ง ทั้งยังรักษาโรคในหลอดเลือดหัวใจเสริมสร้างและปกป้องระบบอวัยวะที่ทำหน้าที่ ย่อยอาหารและระบบขับถ่ายปัสสาวะ คงประสิทธิภาพในการช่วยรักษาเซลล์ผิวเยื่อตา ทั้งมีประสิทธิภาพในการลดความอ้วน และช่วยประเทืองความงาม สรรพคุณต่างๆ ล้วนช่วยเสริมสร้างสุขภาพของร่างกายได้สารพัดโรคก็ว่าได้ แต่ประโยชน์เหล่านั้นจะได้มาอย่างไร หากเราไม่รู้จักวิธีการนำชามาใช้ให้ถูกต้อง
เริ่มตั้งแต่การเลือกหาภาชนะที่เหมาะสมในการชงชา ควรเลือกชนิดที่ทำด้วยดินเผา เพราะจะทำให้น้ำชาที่ได้มีรสชาติ กลิ่น และคุณภาพดีที่สุด และควรลวกกาดินเผาด้วยน้ำร้อน 1 ครั้ง จากนั้นใส่ใบชาประมาณ 1/3-1/4 ของปริมาตรกา หรือตามแต่ความชอบแต่ละคน ต่อจากนั้นเติมน้ำร้อนอุณหภูมิ 90-100 องศาเซลเซียส รินใส่กาชาจนเต็ม ทิ้งไว้เพียง 10 วินาที แล้วรินน้ำนั้นทิ้งจนหมดทันที การทำเช่นนี้เพื่ออุ่นกาชา และให้ใบชาตื่นตัว
หลังจากนั้น ใช้น้ำร้อนรินใส่กาน้ำจนเต็มอีกครั้งแล้วปิดฝากา รอประมาณ 50-60 วินาที แล้วรินดื่มได้เลย การรินชาแต่ละครั้งต้องรินให้หมดกา และควรรินใส่แก้วกลาง จากนั้นจึงแบ่งรินใส่แก้ว สำหรับดื่มต่อไป เพื่อจะได้รสชาติที่สม่ำเสมอทุกแก้ว
เกร็ดเล็กๆ ที่ควรระมัดระวังในการชงชา ไม่ควรใส่ใบชามากเกินไป เพราะจะทำให้การคลายตัวของใบชาไม่เต็มที่ รสชาติที่ได้จะไม่สมบูรณ์ ส่วนน้ำที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเดือด แค่ไม่ต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เป็นใช้ได้ เมื่อชงแล้วควรเทน้ำชาออกจากกาให้หมด ถ้าไม่หมดจะทำให้น้ำชามีรสขม ฝาดมากขึ้นและเสียรสชาติ
นอกจากนั้น ความพิถีพิถันในการเก็บรักษาชาที่ยังไม่ได้ชงก็เกี่ยวพันกับอรรถรส และคุณประโยชน์เช่นกัน ทุกครั้งที่เปิดซองเพื่อนำชามาชง ควรรีบปิดซองนั้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้อากาศหรือกลิ่นเข้าไปทำให้กลิ่นชาเสีย
หากปฏิบัติตามกรรมวิธีที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เราได้ดื่มชาดี มีคุณประโยชน์อย่างครบครัน เพียงอย่าเผลอดื่มน้ำชาค้างคืน หรือดื่มชาที่ทิ้งใบชาแช่อยู่ในน้ำนานเกินไป เพราะโปรตีนในน้ำชาไม่สามารถป้องกันตนเองได้ เมื่อมีเชื้อโรคมาผสมจึงง่ายต่อการเปลี่ยนสภาพ
ที่สำคัญไม่ควรดื่มชาขณะท้องว่าง เพราะน้ำชาอาจจะเข้าไปย่อยกระเพาะแทน เมื่อไม่มีอาหารให้ย่อย และไม่ควรดื่มน้ำชาพร้อมกับยา เนื่องจากน้ำชามีความเป็นกรดอยู่ในตัว ถ้าดื่มน้ำชาพร้อมกับยา ความเป็นกรดของชาจะไปทำลายคุณสมบัติของยาได้ จึงควรทานยาหลังจากดื่มชาไปแล้ว 2 ชั่วโมง จะดีที่สุด
อ้วน.com ขอขอบคุณ - แนวหน้า
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรกำลังเป็นที่นิยมของสังคมไทย มีผู้ผลิตสมุนไพรแปรรูปจำนวนมาก เพื่อมาจำหน่ายในท้องตลาด ทำให้การแข่งขันของผู้ประกอบการอยู่ในขั้นสูง หลายครั้งส่งผลถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ผู้บริโภคจึงควรรู้จักการสังเกตผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ให้ถูกหลอก ดังนี้
ภก.พนิตนาฎ คำนุ้ย หัวกลุ่มงานควบคุมกำกับการโฆษณา อธิบายถึงข้อ สังเกตในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างไรไม่ถูกหลอกว่า 1.ใช้ให้ถูกต้น ถูกส่วน ถูกขนาด ถูกอาการ 2.ไม่ควรใช้มากหรือถี่เกินไป 3.อ่านฉลากก่อนใช้ 4.เมื่อเริ่มใช้ควรสังเกตอาการ หากพบว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นให้หยุดใช้แล้วไปปรึกษาแพทย์ 5.ควรระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของสมุนไพร 6.สังเกตว่าเสียหรือหมดอายุหรือไม่ 7.ปรึกษาผู้ที่มีความรู้ในการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง 8.รู้สิทธิของผู้ซื้อ
ภก.พนิตนาฎ อธิบายถึง ตัวอย่างยาสมุนไพรที่มีการโฆษณาสรรพคุณเกินความจริง อาทิ ลดความอ้วน บำรุงสมอง ยับยั้งเชื้อไวรัส บำรุงหัวใจ ที่กฎหมายกำหนด อาทิ 1.ห้ามมีการโฆษณาที่ขัดต่อประเพณีอันดีงาม 2.ห้ามชักชวนการใช้ยาเกินความจำเป็น เพราะยาต้องใช้ในความจำเป็น 3.ห้ามเข้าใจผิดว่ายาเป็นเครื่องสำอางและอาหาร 4.ห้ามเข้าใจผิดว่าในสารสำคัญไม่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีตัวอย่างสมุนไพรที่มีการโฆษณาเกินความจริง คือ แปะก้วย โสมเกาหลี มะขามแขก ซึ่งเป็นเพียงยาระบาย แต่ไม่มีคุณสมบัติเพื่อลดความอ้วน แฮ้ม ว่านชักมดลูก ลูกยอ กระชายดำ กวาวเครือ สาหร่ายเกลียวทอง
ทางด้าน ภก.ประสิทธิ์ ศรีทิพย์สุขโข เลขาธิการหัวหน้ากลุ่มยาแผนไทย และยาสมุนไพร บอกถึง ความหมายของยา “ยาแผนปัจจุบัน”และ “ยาแผนโบราณ” ว่า ตามกฎหมาย ยาแผนปัจจุบัน หมายถึง ยาที่มุ่งหมาย สำหรับการประกอบวิชาชีพ เวชกรรม การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน หรือการบำบัดโรคสัตว์ และยังได้ให้ความหมายเพิ่มเติมของโรคศิลปะแผนปัจจุบัน ว่า คือ การประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความรู้อันได้ศึกษา ตามวิทยาศาสตร์ ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลปะ แผนโบราณ การบำบัดโรคสัตว์ ซึ่งอยู่ในตำราแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาแผนโบราณ ยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นแผนโบราณ การประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ คือ การประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความรู้ จากตำราหรือการเรียนสืบต่อกันมา ที่ไม่ใช้การศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์
ส่วนความหมายของคำว่า ยาพัฒนาจากสมุนไพรนั้น ภก.ประสิทธิ์ อธิบายว่า มีลักษณะดังนี้ คือ 1.ยาแผนไทยประยุกต์ หมายถึง ยาแผนไทยที่มีการพัฒนารูปแบบ สูตร ตำหรับ การผลิต หรือการใช้ที่แตกต่างนอกจากยาแผนไทยตามหลักเกณฑ์ที่รับขึ้นทะเบียนเป็นตำ หรับยาแผนโบราณทั่วไป
2.ยาแผนเดิมประยุกต์ หมายถึงยาจากสมุนที่เป็นไปตามองค์ความรู้ ดั้งเดิมนอกเหนือจากแผนไทย อาทิ ยาตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่มีการพัฒนาที่แตกต่างนอกจากยาที่เข้าตามหลัก เกณฑ์ที่เป็นตำรับยาแผนโบราณทั่วไป
3.ยาที่เป็นตำรับยาสมุนไพรเดี่ยว หมายถึงยาที่มีการประยุกต์สมุนไพรเดี่ยวมาพัฒนาเป็นตำรับยา นอกเหนือจากที่มีการรับขึ้นเป็นแผนโบราณทั่วไป
4.ยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบัน ซึ่งมีรายการจากสมุนไพรที่มีการพัฒนาจะแบ่งเป็นกลุ่ม ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร อาทิ ขมิ้นชัน ชุมเห็ดเทศ ฟ้าทะลายโจร ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ ฟ้าทะลายโจร ยารักษากลุ่มอาการของระบบผิวหนังและกล้ามเนื้อ พญายอ(เสลดพังพอนตัวเมีย) ไพล
ภก.ประสิทธิ์ บอกถึง มาตรฐานยาแผนโบราณต้องไม่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก อาทิ สารหนู ไม่เกิน 4 ส่วนในล้านส่วน แคดเมียม ไม่เกิน 0.3 ส่วนในล้านส่วน ตะกั่ว ไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน ในการจัดซื้อสินค้าต่างๆ ควรจะมีการสังเกตถึงรายละเอียด ของสินค้า หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อสินค้าเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้บริโภค ที่จะได้สินค้าที่มีคุณภาพ ไม่ถูกผู้ประกอบการหลอก
อ้วน.com ขอขอบคุณ - ผู้จัดการออนไลน์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ภก.พนิตนาฎ คำนุ้ย หัวกลุ่มงานควบคุมกำกับการโฆษณา อธิบายถึงข้อ สังเกตในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างไรไม่ถูกหลอกว่า 1.ใช้ให้ถูกต้น ถูกส่วน ถูกขนาด ถูกอาการ 2.ไม่ควรใช้มากหรือถี่เกินไป 3.อ่านฉลากก่อนใช้ 4.เมื่อเริ่มใช้ควรสังเกตอาการ หากพบว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นให้หยุดใช้แล้วไปปรึกษาแพทย์ 5.ควรระมัดระวังในเรื่องความสะอาดของสมุนไพร 6.สังเกตว่าเสียหรือหมดอายุหรือไม่ 7.ปรึกษาผู้ที่มีความรู้ในการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง 8.รู้สิทธิของผู้ซื้อ
ภก.พนิตนาฎ อธิบายถึง ตัวอย่างยาสมุนไพรที่มีการโฆษณาสรรพคุณเกินความจริง อาทิ ลดความอ้วน บำรุงสมอง ยับยั้งเชื้อไวรัส บำรุงหัวใจ ที่กฎหมายกำหนด อาทิ 1.ห้ามมีการโฆษณาที่ขัดต่อประเพณีอันดีงาม 2.ห้ามชักชวนการใช้ยาเกินความจำเป็น เพราะยาต้องใช้ในความจำเป็น 3.ห้ามเข้าใจผิดว่ายาเป็นเครื่องสำอางและอาหาร 4.ห้ามเข้าใจผิดว่าในสารสำคัญไม่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งจะมีตัวอย่างสมุนไพรที่มีการโฆษณาเกินความจริง คือ แปะก้วย โสมเกาหลี มะขามแขก ซึ่งเป็นเพียงยาระบาย แต่ไม่มีคุณสมบัติเพื่อลดความอ้วน แฮ้ม ว่านชักมดลูก ลูกยอ กระชายดำ กวาวเครือ สาหร่ายเกลียวทอง
ทางด้าน ภก.ประสิทธิ์ ศรีทิพย์สุขโข เลขาธิการหัวหน้ากลุ่มยาแผนไทย และยาสมุนไพร บอกถึง ความหมายของยา “ยาแผนปัจจุบัน”และ “ยาแผนโบราณ” ว่า ตามกฎหมาย ยาแผนปัจจุบัน หมายถึง ยาที่มุ่งหมาย สำหรับการประกอบวิชาชีพ เวชกรรม การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน หรือการบำบัดโรคสัตว์ และยังได้ให้ความหมายเพิ่มเติมของโรคศิลปะแผนปัจจุบัน ว่า คือ การประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความรู้อันได้ศึกษา ตามวิทยาศาสตร์ ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลปะ แผนโบราณ การบำบัดโรคสัตว์ ซึ่งอยู่ในตำราแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาแผนโบราณ ยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นแผนโบราณ การประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ คือ การประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยความรู้ จากตำราหรือการเรียนสืบต่อกันมา ที่ไม่ใช้การศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์
ส่วนความหมายของคำว่า ยาพัฒนาจากสมุนไพรนั้น ภก.ประสิทธิ์ อธิบายว่า มีลักษณะดังนี้ คือ 1.ยาแผนไทยประยุกต์ หมายถึง ยาแผนไทยที่มีการพัฒนารูปแบบ สูตร ตำหรับ การผลิต หรือการใช้ที่แตกต่างนอกจากยาแผนไทยตามหลักเกณฑ์ที่รับขึ้นทะเบียนเป็นตำ หรับยาแผนโบราณทั่วไป
2.ยาแผนเดิมประยุกต์ หมายถึงยาจากสมุนที่เป็นไปตามองค์ความรู้ ดั้งเดิมนอกเหนือจากแผนไทย อาทิ ยาตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่มีการพัฒนาที่แตกต่างนอกจากยาที่เข้าตามหลัก เกณฑ์ที่เป็นตำรับยาแผนโบราณทั่วไป
3.ยาที่เป็นตำรับยาสมุนไพรเดี่ยว หมายถึงยาที่มีการประยุกต์สมุนไพรเดี่ยวมาพัฒนาเป็นตำรับยา นอกเหนือจากที่มีการรับขึ้นเป็นแผนโบราณทั่วไป
4.ยาจากสมุนไพรแผนปัจจุบัน ซึ่งมีรายการจากสมุนไพรที่มีการพัฒนาจะแบ่งเป็นกลุ่ม ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินอาหาร อาทิ ขมิ้นชัน ชุมเห็ดเทศ ฟ้าทะลายโจร ยารักษากลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ ฟ้าทะลายโจร ยารักษากลุ่มอาการของระบบผิวหนังและกล้ามเนื้อ พญายอ(เสลดพังพอนตัวเมีย) ไพล
ภก.ประสิทธิ์ บอกถึง มาตรฐานยาแผนโบราณต้องไม่มีการปนเปื้อนของโลหะหนัก อาทิ สารหนู ไม่เกิน 4 ส่วนในล้านส่วน แคดเมียม ไม่เกิน 0.3 ส่วนในล้านส่วน ตะกั่ว ไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน ในการจัดซื้อสินค้าต่างๆ ควรจะมีการสังเกตถึงรายละเอียด ของสินค้า หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อสินค้าเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้บริโภค ที่จะได้สินค้าที่มีคุณภาพ ไม่ถูกผู้ประกอบการหลอก
อ้วน.com ขอขอบคุณ - ผู้จัดการออนไลน์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
คนไทย บริโภคเครื่องเทศเป็นประจำ แม้ไม่หนักเหมือนเพื่อนบ้านบางประเทศ และเครื่องเทศตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นเป็นของแห้ง เครื่องเทศสดกลิ่นสู้แห้งไม่ได้ เช่น พริก และ พริกไทย เป็นตัวอย่างดีที่สุด
การเก็บรักษาเครื่องเทศ มีกฎเหล็กอยู่สามประการ หนึ่ง บรรจุในภาชนะที่ไม่มีอากาศเข้าออก เก็บไว้ในที่มืดหรือไม่โดนแสงโดยตรง ข้อสุดท้ายเก็บให้ห่างๆ ความร้อนและความชื้น
มนุษย์ใช้เครื่องเทศประกอบอาหารมาเนิ่นนาน เพราะหลงรักทั้งรสและกลิ่นของมัน เครื่องเทศมีคุณสมบัติตรงที่สามารถเก็บไว้ได้นาน นอกจากนี้ความวิเศษอีกประหนึ่งของเครื่องเทศคือ ปัจจุบันนี้นักโภชนการก็ยังค้นพบคุณสมบัติอันน่าทึ่งในเครื่องเทศอยู่เสมอ
มีเครื่องเทศอยู่ 6 ชนิด ที่ผมว่าคนไทยคุ้น อย่างแรกเลยคือ พริก
อย่างที่เราท่านทราบดี แทบไม่มีอาหารไทยรายการไหนขาดพริก ทั้งพริกแห้งและพริกสด คนไทยกินพริกมาก และยังรู้ความลับเกี่ยวกับพริกอีกด้วย เช่นเป็นต้นว่า ต้มยำกุ้งใส่พริกแห้ง (คั่ว) ผสมพริกสด นอกจากได้ลิ้มรสร้อนแรงแสนอร่อยแล้ว ยังได้กลิ่นหอมของพริกอีกต่างหาก ส่วนส้มตำ ไม่จำเป็นต้องใส่พริกแห้งเลย เพียงแต่พริกสดไม่เด็ดก้านก็ทั้งหอมและเผ็ด อะไรเช่นนี้เป็นต้น
พริกสด อุดมไปด้วยวิตามิซี มากแค่ไหนหรือครับ สองหรือสามเท่าของผลไม้จำพวกส้มและมะนาวเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ โปตัสเซียม และวิตามินบี
นักโภชนาการพบว่า พริก (สี) แดง มีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือนอกจากมีเบต้าแคโรทีนอยู่มากกว่าพริกสีอื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยชะลอความชรา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน พบว่าคุณค่าของพริก ช่วยลดความอ้วน มันจัดการกับคอเลสเตอรอลชนิดเลว ที่น่าสนใจคือ พริกมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งผิวหนัง แต่กระนั้นนักวิจัยบอกว่า ต้องรออีกระยะ ซึ่งไม่นานก็อาจสรุปได้ว่า พริกมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอยู่จริง
คนไทยสบายครับ เพราะกินพริกกันทุกวันอยู่แล้ว และยังไม่มีโทษร้ายแรงของพริกมากไปกว่า แสบทวาร (กรณีกินมากไป)
สมุนไพรต่อมาคือ อบเชย
อบเชยนี้ เรากินเปลือกของลำต้นมันครับ ในตลาดเครื่องเทศบ้านเรา อบเชยมาจาก 3 แหล่ง คือ อินโดนีเซีย ศรีลังกา และเวียดนาม
มันเป็นเครื่องเทศที่สามารถผสมได้ทั้งอาหารคาวและหวาน นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเทศอันดับแรกที่มนุษย์รู้จักเอามา ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งมีทั้งแบบเป็นแท่ง และบดเป็นผง
ของดีในอบเชยอยู่ตรงน้ำมันหอมระเหยที่ซ่อนอยู่ในเปลือก ซึ่งมีรสหวานๆ อุ่นๆ และกลิ่นหอมๆ นั่นเองครับ
นักวิจัยในประเทศปากีสถานพบว่า มันอาจมีส่วนช่วยลดภาวะน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวาน แม้กินเพียงเล็กน้อยก็ตาม รายงานยังระบุตัวเลขด้วยครับว่า หากบริโภคอบเชยหนึ่งกรัม ต่อวัน เป็นระยะเวลาสี่สิบวัน ช่วยให้ภาวะน้ำตาลในเลือดลดลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ป่วยเป็นเบาหวานประเภทสอ�
การเก็บรักษาเครื่องเทศ มีกฎเหล็กอยู่สามประการ หนึ่ง บรรจุในภาชนะที่ไม่มีอากาศเข้าออก เก็บไว้ในที่มืดหรือไม่โดนแสงโดยตรง ข้อสุดท้ายเก็บให้ห่างๆ ความร้อนและความชื้น
มนุษย์ใช้เครื่องเทศประกอบอาหารมาเนิ่นนาน เพราะหลงรักทั้งรสและกลิ่นของมัน เครื่องเทศมีคุณสมบัติตรงที่สามารถเก็บไว้ได้นาน นอกจากนี้ความวิเศษอีกประหนึ่งของเครื่องเทศคือ ปัจจุบันนี้นักโภชนการก็ยังค้นพบคุณสมบัติอันน่าทึ่งในเครื่องเทศอยู่เสมอ
มีเครื่องเทศอยู่ 6 ชนิด ที่ผมว่าคนไทยคุ้น อย่างแรกเลยคือ พริก
อย่างที่เราท่านทราบดี แทบไม่มีอาหารไทยรายการไหนขาดพริก ทั้งพริกแห้งและพริกสด คนไทยกินพริกมาก และยังรู้ความลับเกี่ยวกับพริกอีกด้วย เช่นเป็นต้นว่า ต้มยำกุ้งใส่พริกแห้ง (คั่ว) ผสมพริกสด นอกจากได้ลิ้มรสร้อนแรงแสนอร่อยแล้ว ยังได้กลิ่นหอมของพริกอีกต่างหาก ส่วนส้มตำ ไม่จำเป็นต้องใส่พริกแห้งเลย เพียงแต่พริกสดไม่เด็ดก้านก็ทั้งหอมและเผ็ด อะไรเช่นนี้เป็นต้น
พริกสด อุดมไปด้วยวิตามิซี มากแค่ไหนหรือครับ สองหรือสามเท่าของผลไม้จำพวกส้มและมะนาวเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ โปตัสเซียม และวิตามินบี
นักโภชนาการพบว่า พริก (สี) แดง มีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือนอกจากมีเบต้าแคโรทีนอยู่มากกว่าพริกสีอื่นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยชะลอความชรา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน พบว่าคุณค่าของพริก ช่วยลดความอ้วน มันจัดการกับคอเลสเตอรอลชนิดเลว ที่น่าสนใจคือ พริกมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งผิวหนัง แต่กระนั้นนักวิจัยบอกว่า ต้องรออีกระยะ ซึ่งไม่นานก็อาจสรุปได้ว่า พริกมีคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอยู่จริง
คนไทยสบายครับ เพราะกินพริกกันทุกวันอยู่แล้ว และยังไม่มีโทษร้ายแรงของพริกมากไปกว่า แสบทวาร (กรณีกินมากไป)
สมุนไพรต่อมาคือ อบเชย
อบเชยนี้ เรากินเปลือกของลำต้นมันครับ ในตลาดเครื่องเทศบ้านเรา อบเชยมาจาก 3 แหล่ง คือ อินโดนีเซีย ศรีลังกา และเวียดนาม
มันเป็นเครื่องเทศที่สามารถผสมได้ทั้งอาหารคาวและหวาน นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องเทศอันดับแรกที่มนุษย์รู้จักเอามา ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งมีทั้งแบบเป็นแท่ง และบดเป็นผง
ของดีในอบเชยอยู่ตรงน้ำมันหอมระเหยที่ซ่อนอยู่ในเปลือก ซึ่งมีรสหวานๆ อุ่นๆ และกลิ่นหอมๆ นั่นเองครับ
นักวิจัยในประเทศปากีสถานพบว่า มันอาจมีส่วนช่วยลดภาวะน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวาน แม้กินเพียงเล็กน้อยก็ตาม รายงานยังระบุตัวเลขด้วยครับว่า หากบริโภคอบเชยหนึ่งกรัม ต่อวัน เป็นระยะเวลาสี่สิบวัน ช่วยให้ภาวะน้ำตาลในเลือดลดลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ป่วยเป็นเบาหวานประเภทสอ�
สมุนไพร คือ พืชผักท้องถิ่นพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติในการแก้อาการเจ็บไข้ หรือรักษาโรคทั่วไปที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่ต่างๆ สมุนไพรบางชนิดขึ้นตามภูมิอากาศ ภูมิประเทศของแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ซึ่งก็สามารถใช้รักษาโรคบางชนิดที่ เกิดขึ้นตามแต่ละท้องถิ่น
ปัจจุบัน ความเชื่อที่ว่าสมุนไพรเป็นเพียงพืชผักที่ใช้รักษาโรคได้ไม่หายขาดจริง ทำให้ทัศนคติของคนทั่วไปไม่มีความน่าเชื่อถือต่อภูมิปัญญาไทย
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หรือเด็กรุ่นเทคโนโลยีภิวัตน์ ที่เมื่อเจ็บป่วย ก็นึกถึงคลินิก โรงพยาบาล ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้มองข้ามสมุนไพรรอบรั้วบ้าน
นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย มองว่า เด็กรุ่นใหม่จริงต้องเห็นบรรยากาศทั่วโลกที่หันมาสนใจผักผลไม้มากขึ้น และหันกลับมาสู่ธรรมชาติศึกษา พืชพันธุ์ ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก
"ในมิติเชิงสังคม ผมเคยไปทำงานในสลัม ไปให้การศึกษาคนในสลัม พบว่ายาเป็น 1 ในปัจจัย 4 บ้านเราสมุนไพรเป็นทั้งอาหารและยา เราจะโต จะพัฒนา เราต้องพึ่งพาตนเองได้ทั้งปัจจัย 4 โดยเฉพาะยาและอาหาร เมื่อ 25 ปีที่แล้ว หากใครพูดเรื่องสมุนไพร เชยมาก บางคนถามว่าคุณเอา ยาพิษให้กับชาวบ้านหรือเปล่า ผมเริ่มจริงๆ จังๆ เมื่อตอน พ.ศ.2525 เพราะนักวิชาการละเลย ประมาณ ปี 2527-2529 บังเอิญองค์การอนามัยโลกเอาด้วย เพราะเห็นว่าประเทศที่กำลังพัฒนาไม่มีทางที่ยาจะเข้าถึง"
"เมื่อมองกลับสู่สังคมไทย เมื่อพูดถึงสมุนไพร คนนึกถึงคนแก่ๆ ยาต้มเชยๆ ถ้าเราเข้าใจความหมายสมุนไพรที่แท้จริง สมุนไพร ก็แปลว่าลูกน้องป่า เป็นสมุนของป่า ถ้ามองภาพกว้าง เชื่อมโยงไปยังเด็กรุ่นใหม่ สมุนไพรมี 4 มิติ คือ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง และที่อยู่อาศัยหรือเครื่องนุ่งห่ม มิติเหล่านี้ถ้าเด็กรุ่นใหม่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็สามารถนำมาประกอบอาชีพได้"
นายวีรพงษ์ยกตัวอย่างว่า คุณค่าของสมุนไพรเมื่อนำมาประยุกต์ เรื่องความสวยความงาม เครื่องสำอาง ระยะหลังนี้มีการศึกษา แตงกวา ว่านหางจระเข้ น้ำผึ้ง กลับมาสู่พืชพันธุ์ธรรมชาติ อย่างที่สมัยนิยมคือ สปา ที่นำเอาพืชพันธุ์จากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์มากขึ้น จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวอีกว่า ยารักษาโรคก็เช่นเดียวกัน หากรู้จักพืชผักและรู้คุณสมบัติต้นไม้ใบหญ้าที่เราปลูก แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ บางชนิด เมื่อยามเจ็บป่วยเราก็สามารถไปเด็ดมาใช้ได้
"เริ่มตั้งแต่เด็กๆ เยาวชน พบว่าต้นไม้รอบๆ ตัว สามารถเอามาดูแลสุขภาพได้ ตั้งแต่โรคพื้นฐาน อย่างท้องเสีย ท้องอืด เจ็บคอ เป็นไข้ ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่โรคที่คนเป็นกันมากอย่างเช่นเบาหวาน หากเรารู้จักพันธุ์พืช บางชนิดสามารถลดน้ำตาลในเลือด บรรเทาช่วยแบ่งเบาอาการรุนแรงของโรค หากเรามีความรู้ตรงนี้ก็แนะนำสมุนไพรให้กับพ่อแม่ได้"
นายวีรพงษ์ยกตัวอย่างพืช เช่น มะดัน รับประทานแล้วลดความดันได้ รากของต้นมะดันมีรสเปรี้ยว แก้เบาหวาน แก้ไข้หวัด แก้ไข้ทับระดู ขับฟอกโลหิต กัดเสมหะในลำคอ แก้กระษัย แก้ระดูเสีย เป็นยาระบายอ่อนๆ ใบมะดัน มีรสเปรี้ยวแก้หวัด แก้ไอ แก้กระษัย แก้เสมหะพิการ แก้น้ำลายเหนียว กัดเสมหะ แก้ประจำเดือนพิการ แก้ระดูเสีย ขับฟอกโลหิต เป็นยาระบายอ่อน ขับปัสสาวะ ส่วนผลมะดัน มีรสเปรี้ยว ล้างเสมหะ กัดเสมหะ ฟอกโลหิต แก้ไอ แก้ประจำเดือนพิการ เป็นต้น นอกจากมะดันแล้วยังมี "ขึ้นฉ่าย" ที่สามารถนำมารับประทานเพื่อลดความดันได้อีกด้วย
หรือจะเป็นเบาหวาน ซึ่งหากรับประทานของขม อาทิ สะเดา มะระขี้นก บอระเพ็ด ฟ้าทลายโจร ก็จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
"ถ้าเรารู้ว่าพืชผักแต่ละชนิดมีสรรพคุณช่วยแก้โรคอะไร แล้วทานผสมในอาหาร ก็จะช่วยให้เรากินยาน้อยลง อย่างอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย หากคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจ ก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ถ้าได้ใช้ สมุนไพรก็จะพบความมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก มีดบาด เราก็มีว่านที่ช่วยสมานแผลได้อย่างดี ง่ายๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นจับต้องได้ และสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ได้"
หรือแม้แต่เรื่องความสวยความงาม การที่วัยรุ่นต้องการจะมีรูปร่างที่ดูดี ไม่อ้วน จนทำให้หันไปหาแพทย์สมัยใหม่ กินยาลดความอ้วน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและระบบประสาท มีแต่ผลเสีย
"เรื่องควบคุมน้ำหนักตัว หากเรารู้ว่ากินอะไรเส้นใยอาหารเยอะ สมุนไพรชนิดไหนมีวิตามิน B หันมาสนใจจะช่วยได้มาก ทำให้เราเข้าใจและฉลาด ยาลด ยาระบาย แบบไทยๆ หรือแม้แต่ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า ถ่ายออกแล้วน้ำหนักลด ประเด็นอยู่ที่ไขมัน ซึ่งผลิตภัณฑ์บางอย่างทำให้ไขว้เขว เพราะมีการพาณิชย์เข้ามาด้วย การมีความรู้เรื่องสมุนไพรจะทำให้เรารู้ว่า อะไรแท้ อะไรเทียม"
นายวีรพงษ์ยังเชื่อมโยงระหว่างสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเองในระดับชุมชนว่า การมีความรู้เรื่องสมุนไพร เท่ากับว่าได้เกิดการพึ่งพาตนเองในหลายระดับ หากทำให้ชาวบ้านรู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นรอบตัว มะนาว มะละกอ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ก็จะเกิดการพึ่งพาตนเองเพิ่มมากขึ้น
แม้แต่การเป็นไข้ไม่สบายก็สามารถกินยาพื้นๆ ที่หาได้ละแวกบ้าน หากไข้สูงมากๆ ก็ใช้หมอแผนไทย ซึ่งจะทำให้มีผู้เชี่ยวชาญดูแลคนในระดับชุมชน เป็นการขยายการพึ่งพากันในระดับกว้าง นอกจากนี้การใช้สมุนไพรยังหมายถึงการทำให้ชุมชนสัมพันธ์กับป่ามากขึ้น
ทั้งนี้ นายวีรพงษ์ต้องการให้ชุมชนใช้สมุนไพรเพื่อพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว หากแต่ปัญหาคือ บริษัทที่ผลิตยาออกมาขายตามคลินิก หรือโรงพยาบาล ทำให้การรักษาโรคด้วยสมุนไพร หรือแม้แต่การหาสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบในการพึ่งพาตนเองไม่สามารถทำได้
"เราสนับสนุนอุตสาหกรรม เรามีเจตนาชัดเจนว่าสังคมอยู่รอดต้องมีอุตสาหกรรม แต่ต้องไม่ใหญ่ เราสนับสนุนอุตสาหกรรมรายเล็ก รายน้อย หากทุนระดับใหญ่จะทำให้การพึ่งตนเองน้อยลง ในระดับภูมิภาค ผมมองว่าสถานะของโรคก็ขึ้นอยู่กับท้องถิ่น การแพทย์เชิงวัฒนธรรม ผิดกับยาพาราเซตามอล เพราะโรคบางโรค ต้นไม้บางต้น เป็นของท้องถิ่น ขึ้นเฉพาะถิ่น แม้แต่การพึ่งตนเองระดับประเทศ อุตสาหกรรมรายเล็กรายน้อย ผมไม่ปฏิเสธการค้าขาย แต่เน้นระดับอุตสาหกรรมระดับเล็ก เน้นให้เกิด เพราะระดับใช้องค์ความรู้แตกต่างกัน ยาแผนปัจจุบันต้องมี อย. มีกฎหมาย ต้องมีแบบแผนคุ้มครองผู้บริโภคตามมา ก็ดี ผมไม่ได้ปฏิเสธ ถ้าเดินด้วยกันได้หลายๆ ระดับ"
ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพให้ความเห็นว่า ประโยชน์จากสมุนไพรยังสามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ปีละหลายพันล้านบาท โดยเฉพาะนำโรคที่คนไทยเป็นบ่อยๆ มากางบัญชี เนื่องจาก ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จะเกิดโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ก็จะสามารถตั้งเป้าว่าต่อไปจะใช้ยาสมุนไพรอย่างไร เราจะพึ่งพาประเทศได้มหาศาล
"ดังนั้น จึงกลับไปสู่ภูมิปัญญา เรื่องสุขภาพฝากให้ใครไม่ได้ สุขภาพอยู่กับมือเราเอง คนวันนี้หลงลืมการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานหมด เป็นแผลเล็กๆ หากไม่ดูแลให้หายเร็วๆ ต่อไปก็จะลาม แล้วติดเชื้อ สุขภาพของเราอยู่ที่มือเรา และเราต้องมีความรู้"
ถึงกระนั้น ทุกวันนี้นายวีรพงษ์พยายามที่จะให้ความรู้แก่วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ๆ ให้กลับมาเล็งเห็นคุณค่าของสมุนไพรใกล้ตัว
ที่นอกจากจะทำให้มีความรู้ ความ เข้าใจในเรื่องสมุนไพรแล้ว นายวีรพงษ์เชื่อว่าจะสามารถประหยัดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาจากต่างประเทศได้ มหาศาล
อ้วน.com ขอขอบคุณ - ประชาชาติ
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ปัจจุบัน ความเชื่อที่ว่าสมุนไพรเป็นเพียงพืชผักที่ใช้รักษาโรคได้ไม่หายขาดจริง ทำให้ทัศนคติของคนทั่วไปไม่มีความน่าเชื่อถือต่อภูมิปัญญาไทย
โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หรือเด็กรุ่นเทคโนโลยีภิวัตน์ ที่เมื่อเจ็บป่วย ก็นึกถึงคลินิก โรงพยาบาล ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้มองข้ามสมุนไพรรอบรั้วบ้าน
นายวีรพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย มองว่า เด็กรุ่นใหม่จริงต้องเห็นบรรยากาศทั่วโลกที่หันมาสนใจผักผลไม้มากขึ้น และหันกลับมาสู่ธรรมชาติศึกษา พืชพันธุ์ ซึ่งถือว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก
"ในมิติเชิงสังคม ผมเคยไปทำงานในสลัม ไปให้การศึกษาคนในสลัม พบว่ายาเป็น 1 ในปัจจัย 4 บ้านเราสมุนไพรเป็นทั้งอาหารและยา เราจะโต จะพัฒนา เราต้องพึ่งพาตนเองได้ทั้งปัจจัย 4 โดยเฉพาะยาและอาหาร เมื่อ 25 ปีที่แล้ว หากใครพูดเรื่องสมุนไพร เชยมาก บางคนถามว่าคุณเอา ยาพิษให้กับชาวบ้านหรือเปล่า ผมเริ่มจริงๆ จังๆ เมื่อตอน พ.ศ.2525 เพราะนักวิชาการละเลย ประมาณ ปี 2527-2529 บังเอิญองค์การอนามัยโลกเอาด้วย เพราะเห็นว่าประเทศที่กำลังพัฒนาไม่มีทางที่ยาจะเข้าถึง"
"เมื่อมองกลับสู่สังคมไทย เมื่อพูดถึงสมุนไพร คนนึกถึงคนแก่ๆ ยาต้มเชยๆ ถ้าเราเข้าใจความหมายสมุนไพรที่แท้จริง สมุนไพร ก็แปลว่าลูกน้องป่า เป็นสมุนของป่า ถ้ามองภาพกว้าง เชื่อมโยงไปยังเด็กรุ่นใหม่ สมุนไพรมี 4 มิติ คือ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง และที่อยู่อาศัยหรือเครื่องนุ่งห่ม มิติเหล่านี้ถ้าเด็กรุ่นใหม่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็สามารถนำมาประกอบอาชีพได้"
นายวีรพงษ์ยกตัวอย่างว่า คุณค่าของสมุนไพรเมื่อนำมาประยุกต์ เรื่องความสวยความงาม เครื่องสำอาง ระยะหลังนี้มีการศึกษา แตงกวา ว่านหางจระเข้ น้ำผึ้ง กลับมาสู่พืชพันธุ์ธรรมชาติ อย่างที่สมัยนิยมคือ สปา ที่นำเอาพืชพันธุ์จากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์มากขึ้น จนกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวอีกว่า ยารักษาโรคก็เช่นเดียวกัน หากรู้จักพืชผักและรู้คุณสมบัติต้นไม้ใบหญ้าที่เราปลูก แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ บางชนิด เมื่อยามเจ็บป่วยเราก็สามารถไปเด็ดมาใช้ได้
"เริ่มตั้งแต่เด็กๆ เยาวชน พบว่าต้นไม้รอบๆ ตัว สามารถเอามาดูแลสุขภาพได้ ตั้งแต่โรคพื้นฐาน อย่างท้องเสีย ท้องอืด เจ็บคอ เป็นไข้ ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่โรคที่คนเป็นกันมากอย่างเช่นเบาหวาน หากเรารู้จักพันธุ์พืช บางชนิดสามารถลดน้ำตาลในเลือด บรรเทาช่วยแบ่งเบาอาการรุนแรงของโรค หากเรามีความรู้ตรงนี้ก็แนะนำสมุนไพรให้กับพ่อแม่ได้"
นายวีรพงษ์ยกตัวอย่างพืช เช่น มะดัน รับประทานแล้วลดความดันได้ รากของต้นมะดันมีรสเปรี้ยว แก้เบาหวาน แก้ไข้หวัด แก้ไข้ทับระดู ขับฟอกโลหิต กัดเสมหะในลำคอ แก้กระษัย แก้ระดูเสีย เป็นยาระบายอ่อนๆ ใบมะดัน มีรสเปรี้ยวแก้หวัด แก้ไอ แก้กระษัย แก้เสมหะพิการ แก้น้ำลายเหนียว กัดเสมหะ แก้ประจำเดือนพิการ แก้ระดูเสีย ขับฟอกโลหิต เป็นยาระบายอ่อน ขับปัสสาวะ ส่วนผลมะดัน มีรสเปรี้ยว ล้างเสมหะ กัดเสมหะ ฟอกโลหิต แก้ไอ แก้ประจำเดือนพิการ เป็นต้น นอกจากมะดันแล้วยังมี "ขึ้นฉ่าย" ที่สามารถนำมารับประทานเพื่อลดความดันได้อีกด้วย
หรือจะเป็นเบาหวาน ซึ่งหากรับประทานของขม อาทิ สะเดา มะระขี้นก บอระเพ็ด ฟ้าทลายโจร ก็จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
"ถ้าเรารู้ว่าพืชผักแต่ละชนิดมีสรรพคุณช่วยแก้โรคอะไร แล้วทานผสมในอาหาร ก็จะช่วยให้เรากินยาน้อยลง อย่างอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย หากคนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจ ก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ถ้าได้ใช้ สมุนไพรก็จะพบความมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก มีดบาด เราก็มีว่านที่ช่วยสมานแผลได้อย่างดี ง่ายๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นจับต้องได้ และสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ได้"
หรือแม้แต่เรื่องความสวยความงาม การที่วัยรุ่นต้องการจะมีรูปร่างที่ดูดี ไม่อ้วน จนทำให้หันไปหาแพทย์สมัยใหม่ กินยาลดความอ้วน ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและระบบประสาท มีแต่ผลเสีย
"เรื่องควบคุมน้ำหนักตัว หากเรารู้ว่ากินอะไรเส้นใยอาหารเยอะ สมุนไพรชนิดไหนมีวิตามิน B หันมาสนใจจะช่วยได้มาก ทำให้เราเข้าใจและฉลาด ยาลด ยาระบาย แบบไทยๆ หรือแม้แต่ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า ถ่ายออกแล้วน้ำหนักลด ประเด็นอยู่ที่ไขมัน ซึ่งผลิตภัณฑ์บางอย่างทำให้ไขว้เขว เพราะมีการพาณิชย์เข้ามาด้วย การมีความรู้เรื่องสมุนไพรจะทำให้เรารู้ว่า อะไรแท้ อะไรเทียม"
นายวีรพงษ์ยังเชื่อมโยงระหว่างสมุนไพรกับการพึ่งพาตนเองในระดับชุมชนว่า การมีความรู้เรื่องสมุนไพร เท่ากับว่าได้เกิดการพึ่งพาตนเองในหลายระดับ หากทำให้ชาวบ้านรู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นรอบตัว มะนาว มะละกอ มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ก็จะเกิดการพึ่งพาตนเองเพิ่มมากขึ้น
แม้แต่การเป็นไข้ไม่สบายก็สามารถกินยาพื้นๆ ที่หาได้ละแวกบ้าน หากไข้สูงมากๆ ก็ใช้หมอแผนไทย ซึ่งจะทำให้มีผู้เชี่ยวชาญดูแลคนในระดับชุมชน เป็นการขยายการพึ่งพากันในระดับกว้าง นอกจากนี้การใช้สมุนไพรยังหมายถึงการทำให้ชุมชนสัมพันธ์กับป่ามากขึ้น
ทั้งนี้ นายวีรพงษ์ต้องการให้ชุมชนใช้สมุนไพรเพื่อพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว หากแต่ปัญหาคือ บริษัทที่ผลิตยาออกมาขายตามคลินิก หรือโรงพยาบาล ทำให้การรักษาโรคด้วยสมุนไพร หรือแม้แต่การหาสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบในการพึ่งพาตนเองไม่สามารถทำได้
"เราสนับสนุนอุตสาหกรรม เรามีเจตนาชัดเจนว่าสังคมอยู่รอดต้องมีอุตสาหกรรม แต่ต้องไม่ใหญ่ เราสนับสนุนอุตสาหกรรมรายเล็ก รายน้อย หากทุนระดับใหญ่จะทำให้การพึ่งตนเองน้อยลง ในระดับภูมิภาค ผมมองว่าสถานะของโรคก็ขึ้นอยู่กับท้องถิ่น การแพทย์เชิงวัฒนธรรม ผิดกับยาพาราเซตามอล เพราะโรคบางโรค ต้นไม้บางต้น เป็นของท้องถิ่น ขึ้นเฉพาะถิ่น แม้แต่การพึ่งตนเองระดับประเทศ อุตสาหกรรมรายเล็กรายน้อย ผมไม่ปฏิเสธการค้าขาย แต่เน้นระดับอุตสาหกรรมระดับเล็ก เน้นให้เกิด เพราะระดับใช้องค์ความรู้แตกต่างกัน ยาแผนปัจจุบันต้องมี อย. มีกฎหมาย ต้องมีแบบแผนคุ้มครองผู้บริโภคตามมา ก็ดี ผมไม่ได้ปฏิเสธ ถ้าเดินด้วยกันได้หลายๆ ระดับ"
ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพให้ความเห็นว่า ประโยชน์จากสมุนไพรยังสามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ปีละหลายพันล้านบาท โดยเฉพาะนำโรคที่คนไทยเป็นบ่อยๆ มากางบัญชี เนื่องจาก ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จะเกิดโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ก็จะสามารถตั้งเป้าว่าต่อไปจะใช้ยาสมุนไพรอย่างไร เราจะพึ่งพาประเทศได้มหาศาล
"ดังนั้น จึงกลับไปสู่ภูมิปัญญา เรื่องสุขภาพฝากให้ใครไม่ได้ สุขภาพอยู่กับมือเราเอง คนวันนี้หลงลืมการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานหมด เป็นแผลเล็กๆ หากไม่ดูแลให้หายเร็วๆ ต่อไปก็จะลาม แล้วติดเชื้อ สุขภาพของเราอยู่ที่มือเรา และเราต้องมีความรู้"
ถึงกระนั้น ทุกวันนี้นายวีรพงษ์พยายามที่จะให้ความรู้แก่วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ๆ ให้กลับมาเล็งเห็นคุณค่าของสมุนไพรใกล้ตัว
ที่นอกจากจะทำให้มีความรู้ ความ เข้าใจในเรื่องสมุนไพรแล้ว นายวีรพงษ์เชื่อว่าจะสามารถประหยัดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาจากต่างประเทศได้ มหาศาล
อ้วน.com ขอขอบคุณ - ประชาชาติ
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ธรรมชาติรอบๆตัวเรา มีสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากมายนับไม่ถ้วน แต่ถ้าพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน และอย่างเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์แล้วจะพบว่า ทุกอย่างในธรรมชาติ ล้วนดำรงตนให้อยู่ในภาวะสมดุลเสมอ ทั้งนี้เชื่อว่า ความอยู่รอดของทุกอย่างในธรรมชาติจะดำเนินไปได้ดี เมื่อยู่ในสภาวะสมดุล การมีองค์ประกอบหรือปัจจัย ที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป มักนำมาซึ่งความผิดปกติเสมอ ตัวอย่างง่ายๆจากตัวเราในทางการแพทย์พบว่า มีระบบปรับสมดุลของร่างกายอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ ในสิ่งแวดล้อมต่างๆรอบตัวได้ เมื่อร่างกายได้รับสารเคมีใดๆมากเกินไป ร่างกายของคนเราก็จะขับออกไปโดยระบบขับถ่าย ไม่ว่าจะเป็นทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ หรืออุจจาระก็ตาม ซึ่งอวัยวะที่เป็นหน้าด่านแรก สำหรับการกำจัดสารเคมีที่มีมากเกินไปในร่างกายก็คือ ตับ โดยกระบวนการเปลี่ยนสารเคมีเหล่านั้น ให้เป็นสารที่มีอันตรายน้อยลงแล้วจึงขับถ่ายไป แต่ปัจจุบันเราพบว่า สารเคมีดังกล่าวข้างต้น ที่มีเหตุที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน การหายใจ หรือสัมผัสอื่นๆ ดูจะมากขึ้นเรื่อยๆและมีความซับซ้อนอันตรายร้ายแรงมากขึ้น เกินกำลังความสามารถของตับที่จะทำลายสารพิษให้หมดสิ้นเพียงลำพัง ทำให้ความสมดุลตามธรรมชาติของร่างกายผิดไป ซึ่งมักก่อให้เกิดปัญหาความบกพร่องของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเสมอ โดยเฉพาะเรื่องความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่เกิดจากการทำลายของสารพิษตกค้างที่มากเกินไปในร่างกายของเรา
ดังนั้น หากต้องการให้ร่างกายของเราอยู่ในสภาวะสมดุลหรือมีสุขภาพดีตลอดไป ก็ควรหาวิธีช่วยการทำงานของตับ ซึ่งมีหน้าที่กำจัดสารพิษตามลำพังอีกทางหนึ่งด้วย และวิทยาการปัจจุบันเราค้นพบว่า สารจากธรรมชาติด้วยกันจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด สารดังกล่าวนั้นคือ คลอโรฟิลล์ จากพืชสีเขียว ซึ่งประมาณต้นๆศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์โดยศ.ฮานส์ ฟิชเชอร์ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้เผยความลับของสารคลอโรฟิลล์ดังกล่าว
คลอโรฟิลล์ จะให้ผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และยังส่งผลในการกำจัดสารพิษตกค้าง หรือมีคุณสมบัติในการชำระล้าง มีฤทธิ์ในการป้องกันการติดเชื้อ สมานแผล และอื่นๆ และพบว่า กลุ่มพืชที่ให้สารคลอโรฟิลล์คุณภาพสูง คือ พืชในตระกูลสาหร่าย ต้นอ่อนของพืชพวกข้าว หรือพืชจำพวกที่มีฝัก ดังนั้นในการรับประทานอาหารจากพืชสีเขียว หลายๆชนิดร่วมกับการฟื้นฟูสุขภาพ และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารสุขภาพจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายตามสมควร และเหมาะกับวัยของเราเพียงเท่านี้ การมีชีวิตท่ามกลางมลภาวะที่เป็นอยู่ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
ดังนั้น หากต้องการให้ร่างกายของเราอยู่ในสภาวะสมดุลหรือมีสุขภาพดีตลอดไป ก็ควรหาวิธีช่วยการทำงานของตับ ซึ่งมีหน้าที่กำจัดสารพิษตามลำพังอีกทางหนึ่งด้วย และวิทยาการปัจจุบันเราค้นพบว่า สารจากธรรมชาติด้วยกันจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด สารดังกล่าวนั้นคือ คลอโรฟิลล์ จากพืชสีเขียว ซึ่งประมาณต้นๆศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์โดยศ.ฮานส์ ฟิชเชอร์ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล เป็นผู้เผยความลับของสารคลอโรฟิลล์ดังกล่าว
คลอโรฟิลล์ จะให้ผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต และยังส่งผลในการกำจัดสารพิษตกค้าง หรือมีคุณสมบัติในการชำระล้าง มีฤทธิ์ในการป้องกันการติดเชื้อ สมานแผล และอื่นๆ และพบว่า กลุ่มพืชที่ให้สารคลอโรฟิลล์คุณภาพสูง คือ พืชในตระกูลสาหร่าย ต้นอ่อนของพืชพวกข้าว หรือพืชจำพวกที่มีฝัก ดังนั้นในการรับประทานอาหารจากพืชสีเขียว หลายๆชนิดร่วมกับการฟื้นฟูสุขภาพ และการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การบริหารสุขภาพจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายตามสมควร และเหมาะกับวัยของเราเพียงเท่านี้ การมีชีวิตท่ามกลางมลภาวะที่เป็นอยู่ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
สมุนไพรรักษาโรคทั่วไปของสตรี
- ผู้หญิงกับการปวดประจำเดือน รักษาได้โดยใช้น้ำตาลแดง 1 ช้อนโตะพูน ๆ ผสมเหล้าขาว 1-3 ช้อนโตะ แล้วนำมาดื่ม สักครู่จะรู้สึกหายปวด หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้ไพลหรือลูกใต้ใบ หรือใบขี้เหล็ก อย่างใดอย่างหนึ่งประมาณ 1 กำมือ เอามาล้างให้สะอาดแล้วใส่น้ำพอท่วมยา นำไปต้มนาน 10-15 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ทุก 4 ชั่วโมง
- ตกขาวมากผิดปกติและคัน แก้ไขได้ โดยใช้ใบมะขาม 1-2 กำมือ ทั้งใบและก้าน นำมาล้างให้สะอาดใส่น้ำพอท่วมยา ต้มให้เดือดประมาณ 10-15 นาที กินวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว ก่อนอาหารกินติดต่อกันนาน 1 อาทิตย์ จึงจะหายเป“นปกติ หรือเอามะระขี้นกลูกแก่ ๆ 10 ลูก ล้างให้สะอาด นำมาป’นหรือโขลกให้ละเอียดทั้งเม็ด ใช้ผ้าขาวบางบีบคั้นเอาน้ำจะได้ประมาณ 3 ช้อนโตะ แล้วผสมเหล้าโรง 3 ช้อนชา กินวันละ 1 ครั้ง จะรู้สึกดีขึ้น
- เริมที่อวัยวะเพศ รักษาโดยใช้ใบสดของฟาทลายโจรตำให้ละเอียด ผสมเหล้าขาวหรือ แอลกอฮอล์ทาบริเวณที่เป“นบ่อย ๆ หรือใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมีย 15-20 ใบ มาล้างให้สะอาด ตำผสมกับเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์เล็กน้อย เอาสำลีชุบยาทาบริเวณที่เป“นวันละ 4-5 ครั้ง จนกว่าจะหาย
- ริดสีดวงทวาร สำหรับคนที่หัวริดสีดวงทวารโผล่ออกมา อักเสบและปวดมาก ให้เอาใบพลูมาตำให้ละเอียด ละลายในน้ำอุ่น แล้วนั่งเอาหัวริดสีดวงลงไปแช่ประมาณ 20 นาที ทำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาการปวดอักเสบจะลดลงมาก เพราะใบพลูมีสารช่วยระงับปลายประสาทชา และลดการอักเสบได้ดี อีกวิธีหนึ่งคือให้เอาเหง้าหรือรากต้นกะทกรกนำมาตากแดดให้แห้ง แล้วเอามาผสมกับน้ำปูนใส ใช้ทาที่หัวหรือกลีบริดสีดวงบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง หัวริดสีดวงจะฝอและหลุดไปเอง
สมุนไพรเพื่อความงาม
- เมื่อรอยตีนกามารุมสกรัมบนผิวหน้าของคุณ สามารถขจัดได้โดยการใช้มะขามเปยก 1 กำมือ เอารกออก แล้วล้างน้ำให้สะอาด ผสมกับนมสด 2 ช้อนโตะ ผสมให้เข้ากัน ถ้าข้นให้เติมน้ำลงไป นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน จะกลายเป“นครีมมะขามเปยก ใช้ทาให้ทั่วใบหน้า โดยบริเวณหางตาให้ทาทิ้งไว้นานหน่อย อย่างน้อย 15 นาที จึงล้างออก ครีมล้างหน้ามะขามเปยกสูตรนี้ สามารถเก็บไว้ในภาชนะที่สะอาด นำเข้าตู้เย็น เก็บรักษาได้นาน 1 เดือน วิธีการนี้รักษาฝาได้ดีอีกด้วย
- หน้ามัน แก้ไขได้โดยใช้น้ำแตงกวาล้าง หน้าเช้า-เย็น ทุกวัน วิธีทำคือนำแตงกวามาป’นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที จึงค่อยล้าง ออก
- หน้าแห้ง ให้ใช้น้ำแตงโมเช็ดหน้าทุกคืน และล้างออกตอนเช้า ผิวหน้าจะนุ่มนวลสดใสขึ้น หรือใช้น้ำมันมะกอก 1-2 หยด ทาผิวหน้าหลังอาบน้ำ โดยไม่ต้องล้างออก
- หน้าเป“นสิว รักษาได้โดย เอาผงขมิ้นมาละลายน้ำ แล้วผสมน้ำผึ้งทาบริเวณที่เป“นสิวหรือทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วจึงใช้น้ำมะขามเปยกล้างหน้าให้สะอาดอีกครั้ง ทำวันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะหาย วิธีการนี้มีสาว ๆ เคยทดลองใช้แล้วได้ผลดีมาก
- มีกลิ่นปากทำให้บุคลิกเสีย แก้ไขได้ ไม่ยาก ด้วยการเคี้ยวใบชาจีนแห้ง 1 หยิบมือ เคี้ยวไว้ สักครู่แล้วค่อยคายทิ้ง จะช่วยขจัดกลิ่นปากได้ดี หรือบีบมะนาวลงไปในแก้วน้ำ 2-3 หยด ใช้บ้วนปาก จะทำให้ปากสะอาดดีเยี่ยม
- มีกลิ่นเต่าทำอย่างไรดี? แก้ได้โดยใช้ สารส้มทา หรือขณะที่อาบน้ำใช้มะนาวผ่าซีกแล้วนำมาทารักแร้ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยดับกลิ่นเต่าได้
- หน้าท้องลาย ขณะที่ตั้งครรภ์ผู้หญิงบางคนมีอาการคันที่หน้า ท้อง เพราะหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น มีสมุน ไพรที่ช่วยลดอาการคันและบำรุงผิวได้นั่นคือ ขมิ้นชัน ให้นำผงขมิ้น ชันมาผสมกับดินสอพองอย่างละเท่า ๆ กัน ทาท้องตั้งแต่เริ่มขยายจนคลอด หรือจะใช้ใบ บัวบกตำคั้นน้ำ เอามาทาบ่อย ๆ เพราะใบบัวบกช่วยสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้กับ ผิวหนัง
- ต้องการลดน้ำหนัก สามารถทำได้โดย ใช้เมล็ดแมงลัก 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ถ้ากินยากอาจจะผสมน้ำหวานหรือน้ำตาล 1 ช้อนชา กินก่อนอาหารทุกมื้อ ถ้าปกติเคยกินข้าววันละ 2-3 จาน พอกินเมล็ดแมงลักเข้าไปจะเหลือเพียงจานเดียว ทำอย่างนี้ประมาณ 5-6 เดือน น้ำหนักจะลดลงได้ ข้อสำคัญอย่าลืมออกกำลังกายด้วย
เหล่านี้เป“นเพียงบางส่วนของหนังสือทั้ง 2 เล่ม หวังว่าคงเป“นประโยชน์ให้กับคุณผู้หญิงได้ บ้างไม่มากก็น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ นั่นคือ สมุนไพรเป“นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ปู่ย่าตายายล้วนแล้วแต่ผ่านการพึ่งพาสมุนไพรกันมาแทบทั้งสิ้น หากใช้อย่างถูกต้อง คุณสมบัติบางด้านดีกว่ายาแผนป’จจุบันหรือสารเคมีที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาด้วย ซ้ำ
ที่สำคัญในสภาวะเศรษฐกิจที่มันตก สะเก็ดเช่นนี้ การพึ่งพาสมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงามนั้น น่าจะเป“นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คุณ ผู้หญิงทั้งหลายสามารถประหยัดเงินในกระเปาได้ มากโขทีเดียว
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
- ผู้หญิงกับการปวดประจำเดือน รักษาได้โดยใช้น้ำตาลแดง 1 ช้อนโตะพูน ๆ ผสมเหล้าขาว 1-3 ช้อนโตะ แล้วนำมาดื่ม สักครู่จะรู้สึกหายปวด หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้ไพลหรือลูกใต้ใบ หรือใบขี้เหล็ก อย่างใดอย่างหนึ่งประมาณ 1 กำมือ เอามาล้างให้สะอาดแล้วใส่น้ำพอท่วมยา นำไปต้มนาน 10-15 นาที ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ทุก 4 ชั่วโมง
- ตกขาวมากผิดปกติและคัน แก้ไขได้ โดยใช้ใบมะขาม 1-2 กำมือ ทั้งใบและก้าน นำมาล้างให้สะอาดใส่น้ำพอท่วมยา ต้มให้เดือดประมาณ 10-15 นาที กินวันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 แก้ว ก่อนอาหารกินติดต่อกันนาน 1 อาทิตย์ จึงจะหายเป“นปกติ หรือเอามะระขี้นกลูกแก่ ๆ 10 ลูก ล้างให้สะอาด นำมาป’นหรือโขลกให้ละเอียดทั้งเม็ด ใช้ผ้าขาวบางบีบคั้นเอาน้ำจะได้ประมาณ 3 ช้อนโตะ แล้วผสมเหล้าโรง 3 ช้อนชา กินวันละ 1 ครั้ง จะรู้สึกดีขึ้น
- เริมที่อวัยวะเพศ รักษาโดยใช้ใบสดของฟาทลายโจรตำให้ละเอียด ผสมเหล้าขาวหรือ แอลกอฮอล์ทาบริเวณที่เป“นบ่อย ๆ หรือใช้ใบเสลดพังพอนตัวเมีย 15-20 ใบ มาล้างให้สะอาด ตำผสมกับเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์เล็กน้อย เอาสำลีชุบยาทาบริเวณที่เป“นวันละ 4-5 ครั้ง จนกว่าจะหาย
- ริดสีดวงทวาร สำหรับคนที่หัวริดสีดวงทวารโผล่ออกมา อักเสบและปวดมาก ให้เอาใบพลูมาตำให้ละเอียด ละลายในน้ำอุ่น แล้วนั่งเอาหัวริดสีดวงลงไปแช่ประมาณ 20 นาที ทำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาการปวดอักเสบจะลดลงมาก เพราะใบพลูมีสารช่วยระงับปลายประสาทชา และลดการอักเสบได้ดี อีกวิธีหนึ่งคือให้เอาเหง้าหรือรากต้นกะทกรกนำมาตากแดดให้แห้ง แล้วเอามาผสมกับน้ำปูนใส ใช้ทาที่หัวหรือกลีบริดสีดวงบ่อย ๆ วันละหลาย ๆ ครั้ง หัวริดสีดวงจะฝอและหลุดไปเอง
สมุนไพรเพื่อความงาม
- เมื่อรอยตีนกามารุมสกรัมบนผิวหน้าของคุณ สามารถขจัดได้โดยการใช้มะขามเปยก 1 กำมือ เอารกออก แล้วล้างน้ำให้สะอาด ผสมกับนมสด 2 ช้อนโตะ ผสมให้เข้ากัน ถ้าข้นให้เติมน้ำลงไป นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน จะกลายเป“นครีมมะขามเปยก ใช้ทาให้ทั่วใบหน้า โดยบริเวณหางตาให้ทาทิ้งไว้นานหน่อย อย่างน้อย 15 นาที จึงล้างออก ครีมล้างหน้ามะขามเปยกสูตรนี้ สามารถเก็บไว้ในภาชนะที่สะอาด นำเข้าตู้เย็น เก็บรักษาได้นาน 1 เดือน วิธีการนี้รักษาฝาได้ดีอีกด้วย
- หน้ามัน แก้ไขได้โดยใช้น้ำแตงกวาล้าง หน้าเช้า-เย็น ทุกวัน วิธีทำคือนำแตงกวามาป’นทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที จึงค่อยล้าง ออก
- หน้าแห้ง ให้ใช้น้ำแตงโมเช็ดหน้าทุกคืน และล้างออกตอนเช้า ผิวหน้าจะนุ่มนวลสดใสขึ้น หรือใช้น้ำมันมะกอก 1-2 หยด ทาผิวหน้าหลังอาบน้ำ โดยไม่ต้องล้างออก
- หน้าเป“นสิว รักษาได้โดย เอาผงขมิ้นมาละลายน้ำ แล้วผสมน้ำผึ้งทาบริเวณที่เป“นสิวหรือทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วจึงใช้น้ำมะขามเปยกล้างหน้าให้สะอาดอีกครั้ง ทำวันละ 1 ครั้ง จนกว่าจะหาย วิธีการนี้มีสาว ๆ เคยทดลองใช้แล้วได้ผลดีมาก
- มีกลิ่นปากทำให้บุคลิกเสีย แก้ไขได้ ไม่ยาก ด้วยการเคี้ยวใบชาจีนแห้ง 1 หยิบมือ เคี้ยวไว้ สักครู่แล้วค่อยคายทิ้ง จะช่วยขจัดกลิ่นปากได้ดี หรือบีบมะนาวลงไปในแก้วน้ำ 2-3 หยด ใช้บ้วนปาก จะทำให้ปากสะอาดดีเยี่ยม
- มีกลิ่นเต่าทำอย่างไรดี? แก้ได้โดยใช้ สารส้มทา หรือขณะที่อาบน้ำใช้มะนาวผ่าซีกแล้วนำมาทารักแร้ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยดับกลิ่นเต่าได้
- หน้าท้องลาย ขณะที่ตั้งครรภ์ผู้หญิงบางคนมีอาการคันที่หน้า ท้อง เพราะหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น มีสมุน ไพรที่ช่วยลดอาการคันและบำรุงผิวได้นั่นคือ ขมิ้นชัน ให้นำผงขมิ้น ชันมาผสมกับดินสอพองอย่างละเท่า ๆ กัน ทาท้องตั้งแต่เริ่มขยายจนคลอด หรือจะใช้ใบ บัวบกตำคั้นน้ำ เอามาทาบ่อย ๆ เพราะใบบัวบกช่วยสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้กับ ผิวหนัง
- ต้องการลดน้ำหนัก สามารถทำได้โดย ใช้เมล็ดแมงลัก 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อน 1 แก้ว ถ้ากินยากอาจจะผสมน้ำหวานหรือน้ำตาล 1 ช้อนชา กินก่อนอาหารทุกมื้อ ถ้าปกติเคยกินข้าววันละ 2-3 จาน พอกินเมล็ดแมงลักเข้าไปจะเหลือเพียงจานเดียว ทำอย่างนี้ประมาณ 5-6 เดือน น้ำหนักจะลดลงได้ ข้อสำคัญอย่าลืมออกกำลังกายด้วย
เหล่านี้เป“นเพียงบางส่วนของหนังสือทั้ง 2 เล่ม หวังว่าคงเป“นประโยชน์ให้กับคุณผู้หญิงได้ บ้างไม่มากก็น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ นั่นคือ สมุนไพรเป“นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ปู่ย่าตายายล้วนแล้วแต่ผ่านการพึ่งพาสมุนไพรกันมาแทบทั้งสิ้น หากใช้อย่างถูกต้อง คุณสมบัติบางด้านดีกว่ายาแผนป’จจุบันหรือสารเคมีที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาด้วย ซ้ำ
ที่สำคัญในสภาวะเศรษฐกิจที่มันตก สะเก็ดเช่นนี้ การพึ่งพาสมุนไพรเพื่อสุขภาพและความงามนั้น น่าจะเป“นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คุณ ผู้หญิงทั้งหลายสามารถประหยัดเงินในกระเปาได้ มากโขทีเดียว
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการแนะนำอย่าทานอาหารซ้ำซากจำเจ ไขมันสูงเสี่ยงอัลไซเมอร์ ควรบริโภคอาหารครบหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ไหลเลี้ยงสมองและทุกส่วนของร่างกายได้ดี ตลอดจนกระตุ้นอนุมูลอิสระช่วยต้านอัลไซเมอร์ได้ผล
ในการสัมมนาเรื่อง กินต้านแก่ ต้านอัลไซเมอร์ ซึ่งสมาคมพยาบาลทหารบก ร่วมกับ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวว่า การรับโภชนาการที่ดีช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายได้ทางหนึ่ง เนื่องจากความชราหรือความแก่เป็นที่มาของโรคต่าง ๆ อาทิ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ ปวดข้อ-เข่า นอนไม่หลับ ต้อกระจก โรคอ้วน รวมทั้งโรคความจำเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ การมีโภชนาการที่ดีไม่ยากเกินปฏิบัติ
แต่ปัญหาที่ประสบในปัจจุบันคือ การรับประทานอาหารโปรดซ้ำซากจำเจ อาหารไขมันสูง ไม่ค่อยทานผัก ผลไม้ และธัญพืช เมื่อร่างกายรับอาหารเหล่านั้นเป็นเวลานาน มีผลให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ อาหารและสารพฤกษเคมีจากพืชบางชนิดอาจนำไปสู่ความจำเสื่อม
อ.ศัลยา แนะนำว่าการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยต้านโรคอัลไซเมอร์ มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวว่า การบริโภคผักผลไม้มาก ๆ ทำให้ได้รับสารแอนติออกซิแดนท์เพิ่มขึ้น ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการต้านอัลไซเมอร์ คือสารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย ซึ่งมีส่วนประกอบของสารเทอร์พีน ทำหน้าที่ยับยั้งสารที่กระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด จึงช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดฝอยแข็งแรงขึ้นไหลไปเลี้ยงสมองและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ดี และยังมีสารเฟลโวนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นอนุมูลอิสระป้องกันอันตรายต่อเนื้อเยื่อและผนัง หลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น
การสร้างโภชนาการที่ดีให้ตนเองในวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารจากพืช ซึ่งให้สารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น กินอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหาร รวมทั้งทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียดและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นอีกทางหนึ่งของการมีสุขภาพดี ป้องกันโรคอัลไซเมอร์มาเยือน อ.ศัลยากล่าว
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ในการสัมมนาเรื่อง กินต้านแก่ ต้านอัลไซเมอร์ ซึ่งสมาคมพยาบาลทหารบก ร่วมกับ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กล่าวว่า การรับโภชนาการที่ดีช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายได้ทางหนึ่ง เนื่องจากความชราหรือความแก่เป็นที่มาของโรคต่าง ๆ อาทิ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ ปวดข้อ-เข่า นอนไม่หลับ ต้อกระจก โรคอ้วน รวมทั้งโรคความจำเสื่อมหรือ อัลไซเมอร์ การมีโภชนาการที่ดีไม่ยากเกินปฏิบัติ
แต่ปัญหาที่ประสบในปัจจุบันคือ การรับประทานอาหารโปรดซ้ำซากจำเจ อาหารไขมันสูง ไม่ค่อยทานผัก ผลไม้ และธัญพืช เมื่อร่างกายรับอาหารเหล่านั้นเป็นเวลานาน มีผลให้ขาดวิตามินและเกลือแร่ อาหารและสารพฤกษเคมีจากพืชบางชนิดอาจนำไปสู่ความจำเสื่อม
อ.ศัลยา แนะนำว่าการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยต้านโรคอัลไซเมอร์ มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวว่า การบริโภคผักผลไม้มาก ๆ ทำให้ได้รับสารแอนติออกซิแดนท์เพิ่มขึ้น ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคความจำเสื่อม นอกจากนี้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการต้านอัลไซเมอร์ คือสารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย ซึ่งมีส่วนประกอบของสารเทอร์พีน ทำหน้าที่ยับยั้งสารที่กระตุ้นการทำงานของเกล็ดเลือด จึงช่วยลดการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดฝอยแข็งแรงขึ้นไหลไปเลี้ยงสมองและส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ดี และยังมีสารเฟลโวนอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นอนุมูลอิสระป้องกันอันตรายต่อเนื้อเยื่อและผนัง หลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น
การสร้างโภชนาการที่ดีให้ตนเองในวันนี้ ด้วยการเลือกอาหารจากพืช ซึ่งให้สารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น กินอาหารให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหาร รวมทั้งทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียดและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เป็นอีกทางหนึ่งของการมีสุขภาพดี ป้องกันโรคอัลไซเมอร์มาเยือน อ.ศัลยากล่าว
อ้วน.com ขอขอบคุณ - เดลินิวส์
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
ผิวพรรณที่หมองคล้ำดำกร้านอันเกิดจากความเหนื่อยล้า และความเครียด ย่อมต้องการเยียวยาจากภายใน ไม่เช่ครีมบำรุงผิวจากภายนอก น้ำแครอตและน้ำผลไม้เล็กๆ หลายชนิดเต็มไปด้วย วิตามิน E วิตามิน C และเบต้าแคโรทีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี
สารเหล่านี้จะช่วยคลอลาเจนให้กับผิวหนัง ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น
น้ำสตอรอเบอร์รีเพือผิวสวย
สตรอเบอร์รี 20 ผล
กล้วยหอม 1 ผล
องุ่น 15 ผล
เงาะ 5 ผล
วิธีทำ
* นำผลไม้ทั้งหมดไปแช่ในช่องแช่แข็ง ส่วนกล้วยหอมให้ฝานบางๆ แช่ไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
* นำมาใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แล้เทใส่แก้วดื่มได้ทันที
สารเหล่านี้จะช่วยคลอลาเจนให้กับผิวหนัง ช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น
น้ำสตอรอเบอร์รีเพือผิวสวย
สตรอเบอร์รี 20 ผล
กล้วยหอม 1 ผล
องุ่น 15 ผล
เงาะ 5 ผล
วิธีทำ
* นำผลไม้ทั้งหมดไปแช่ในช่องแช่แข็ง ส่วนกล้วยหอมให้ฝานบางๆ แช่ไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
* นำมาใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แล้เทใส่แก้วดื่มได้ทันที
ในวันที่คุณทำงานอย่างเคร่งเครียด อาการปวดศีรษะจึงถือเป็นสิ่งที่คุณต้องเผชิญกับมันอยู่เสมอ น้ำขึ้นฉ่าย (เซเลอรี) จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ เพราะอุดมไปด้วยโซเดียมและโพแทสเซียม ในขณะที่ผักกาดหอมมีปริมาณวิตามิน B สูง จะช่วยผ่อนคลายตึงเครียดของระบบประสาทได้
ควรดื่มน้ำผักเหล่านี้ทันทีในขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ก่อนนอนก็ควรดื่มน้ำชามะนาว เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อในขณะที่คุณหลับ (แต่จะต้องไม่เกิน 3 แก้วต่อวัน)
น้ำขึ้นฉ่ายสบายอุรา
ขึ้นฉ่าย 3 ต้น
ผักกาดหอม 1 กำมือ
แตงกวา 5 ผล
มะนาวฝาน 2 แว่น
วิธีทำ
* นำขึ้นฉ่าย ผักกาดหอม และแตงกวาปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน (ถ้าชอบเย็นๆ ให้นำแตงกวาแช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 2 ชั่วโมงเสียก่อน)
* เทใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวฝานแล้วดื่มได้ทันที
ควรดื่มน้ำผักเหล่านี้ทันทีในขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ก่อนนอนก็ควรดื่มน้ำชามะนาว เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อในขณะที่คุณหลับ (แต่จะต้องไม่เกิน 3 แก้วต่อวัน)
น้ำขึ้นฉ่ายสบายอุรา
ขึ้นฉ่าย 3 ต้น
ผักกาดหอม 1 กำมือ
แตงกวา 5 ผล
มะนาวฝาน 2 แว่น
วิธีทำ
* นำขึ้นฉ่าย ผักกาดหอม และแตงกวาปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน (ถ้าชอบเย็นๆ ให้นำแตงกวาแช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 2 ชั่วโมงเสียก่อน)
* เทใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวฝานแล้วดื่มได้ทันที
ผู้หญิงทุกคนทุกวัยควรจะให้ได้แคลเซียมอย่างพอเพียง เพื่อเสริมสร้งมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุนในยามแก่ชราและยังช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายอีกด้วย
แหล่งแคลเซียมก็คือในผักใบเขียวทุกชนิด โดยเฉพาะวอเตอร์เครส อาจจะหาซื้อยากหน่อย แต่ถ้าคุณเข้าซูเปอร์มาร์เกตบ่อยๆ ก็หาซื้อได้ไม่ยาก รวมทั้งผักขม ผักคะน้า หรือกะหล่ำปลีสีเขียวก็มีแคลเซียมไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนเต้าหู้หรือเต้าฮวยก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มรสชาติให้ถูกปาก หลายๆ คนได้อีกด้วย
หรืออาจจะผสมน้ำแอปเปิล แครอต มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย และส้มได้ตามใจชอบของแต่ละคน
น้ำผัก-ผลไม้อุดมแคลเซียม
วอเตอร์เครส (ถ้ามี) หรือคะน้า 1 กำมือ
ผักขม 1 กำมือ
ขึ้นฉ่าย 2 ต้น
มะเขือเทศ 2 ผล
แอปเปิล 1 ผล
วิธีทำ
* นำผัก-ผลไม้ไป แช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 2 ชั่วโมง
* ใส่ส่วนผสมทุกอย่างในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อ เดียวกัน เทใส่แก้วแล้วดื่มได้ทันที
แหล่งแคลเซียมก็คือในผักใบเขียวทุกชนิด โดยเฉพาะวอเตอร์เครส อาจจะหาซื้อยากหน่อย แต่ถ้าคุณเข้าซูเปอร์มาร์เกตบ่อยๆ ก็หาซื้อได้ไม่ยาก รวมทั้งผักขม ผักคะน้า หรือกะหล่ำปลีสีเขียวก็มีแคลเซียมไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนเต้าหู้หรือเต้าฮวยก็สามารถนำมาเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มรสชาติให้ถูกปาก หลายๆ คนได้อีกด้วย
หรืออาจจะผสมน้ำแอปเปิล แครอต มะเขือเทศ ขึ้นฉ่าย และส้มได้ตามใจชอบของแต่ละคน
น้ำผัก-ผลไม้อุดมแคลเซียม
วอเตอร์เครส (ถ้ามี) หรือคะน้า 1 กำมือ
ผักขม 1 กำมือ
ขึ้นฉ่าย 2 ต้น
มะเขือเทศ 2 ผล
แอปเปิล 1 ผล
วิธีทำ
* นำผัก-ผลไม้ไป แช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 2 ชั่วโมง
* ใส่ส่วนผสมทุกอย่างในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อ เดียวกัน เทใส่แก้วแล้วดื่มได้ทันที
นำความ รู้เรื่องสมุนไพรไทยมาฝากสาวๆ กันอีกแล้วนะค่ะของดีมีประโยชน์หาง่ายๆ จากก้นครัว ไม่ต้องเสียเงินเสียทองใช้ของแบรนด์เนมให้สิ้นเปลือง อย่างน้ำยาบ้วนปากก็เหมือนกันค่ะเพราะคุณก็สามารถหาได้ง่ายจากผักในห้องครัว ที่บ้านเรานี่เอง วิธีเตรียมก็ไม่ย่งยากอะไรเลย ลองทำดูนะคะ
ผักชีฝรั่ง ให้กินสม่ำเสมอ จะทำให้ลมหายใจสะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ใบชา โดยใช้ชา 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 2 ถ้วยนำมาดื่มหรือเก็บไว้เป็นน้ำยาบ้วนปากก็ได้
ขิง สับขิงให้ละเอียด ใส่ลงในน้ำ 2 ถ้วย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที กรองเก็บไว้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้
ใบฝรั่ง เคี้ยวสดๆ จะช่วยดับกลิ่นอาหารในปากได้ เห็นไหมคะสมุนไพรไทยมีประโยชน์มากมายจริงๆ รู้อย่างนี้แล้วจะไปเสียเงินซื้อของแพงๆ ทำไมค่ะ
ผักชีฝรั่ง ให้กินสม่ำเสมอ จะทำให้ลมหายใจสะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ใบชา โดยใช้ชา 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 2 ถ้วยนำมาดื่มหรือเก็บไว้เป็นน้ำยาบ้วนปากก็ได้
ขิง สับขิงให้ละเอียด ใส่ลงในน้ำ 2 ถ้วย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที กรองเก็บไว้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้
ใบฝรั่ง เคี้ยวสดๆ จะช่วยดับกลิ่นอาหารในปากได้ เห็นไหมคะสมุนไพรไทยมีประโยชน์มากมายจริงๆ รู้อย่างนี้แล้วจะไปเสียเงินซื้อของแพงๆ ทำไมค่ะ
กล้วยหอมสุกงอม 2 ผล
นมถั่วเหลือ 200 มิลลิลิตร
อบเชย 20 กรัม
ถั่วอัลมอนต์ 20 กรัม
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธีทำ
*นำกล้วยหอมที่ฝานบางๆ แช่ในช่องแช่แข็งประมาร 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
*ใส่กล้วยหอมที่แช่แข็งแล้วลงในเครื่องปั่น ตามด้วยถั่วอัลมอนด์ อบเชย และนมถั่วเหลือง ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน
*ใส่น้ำผึ้งแล้วปั่นต่ออีกสักครู่ เทใส่แก้วโรยหน้ด้วยอบเชยพองาม
นมถั่วเหลือ 200 มิลลิลิตร
อบเชย 20 กรัม
ถั่วอัลมอนต์ 20 กรัม
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธีทำ
*นำกล้วยหอมที่ฝานบางๆ แช่ในช่องแช่แข็งประมาร 3-4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
*ใส่กล้วยหอมที่แช่แข็งแล้วลงในเครื่องปั่น ตามด้วยถั่วอัลมอนด์ อบเชย และนมถั่วเหลือง ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน
*ใส่น้ำผึ้งแล้วปั่นต่ออีกสักครู่ เทใส่แก้วโรยหน้ด้วยอบเชยพองาม
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำสิ่งที่คุณควรเลือกดื่มน้ำผล ไม้ เนื่องจากน้ำผลไม้จะมีส่วนผสมจากน้ำตาลของผลไม้เองรวมกับน้ำตาลที่เราใส่ เพื่อเพิ่มรสชาติอีก ดังนี้นถ้าคุณอยากจะดื่มน้ำผลไม้ขึ้นมา แต่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงละก็ คุณอาจจะเลือกผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ที่ไม่ใส่น้ำตาล (Sugar Free) หรือผสมน้ำผลไม้ที่คุณคั้นกับน้ำดื่มอย่างละครึ่ง แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการกินผลไม้สดๆ ทั้งผลนั่นเอง
เมื่อพูดถึงประโยชน์ของน้ำส้มคั้นเพื่อนๆคงจะคำนึงถึง วิตามินซี เป็นอันดับแรกใช่ไหมค่ะ แต่ความจริงที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งอองตาริโอตะวันตกค้นพบว่า สารอาหารในน้ำส้มช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลดี ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ และเมื่อเร็วๆนี้ องค์การอาหารและยาหรือ FDA แห่งสหรัฐอเมริกายังออกประกาศรับรองให้ผู้ผลิตน้ำส้มคั้น สามารถระบุในฉลากว่าน้ำส้มมีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองอุดตัน หันมาดื่มน้ำส้มแทนน้ำอันลมกันดีกว่า เพราะได้ประโยชน์มากกว่าวิตามินซีแค่อย่างเดียว
เป็นเครื่องดื่มที่ได้ชื่อว่าต่อต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยในการป้องกันเซลล์เสื่อมสภาพ อีกทั้งยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเอนไซม์ที่ต้านอนุมูลอิสระได้เองอีกด้วย ชาเขียวมีสารแอนตี้อ็อกซิแดนท์ที่ทรงพลังในปริมาณสูง สารนี้สามารถจับกับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง ดังนั้นสารสกัดชาเขียวจึงป้องกันอันตรายที่เกิดจากฤทธิ์ของอนุมูลอิสระใน ร่างกายได้เป็นอย่างดีจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยแคนซัสสารต้านอนุมูลอิสระ หลักในชาเขียวคือ สาร EGCG มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี 100 เท่า และมีศักยภาพมากกว่าวิตามินอี 25 เท่า ในการป้องกันการเสื่อมสภาพของดีเอ็นเอที่เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงในการ เป็นโรคมะเร็ง
ดื่มน้ำมะนาวสดๆ ผสมน้ำอุ่น (เจือน้ำผึ้งเล็กน้อยได้) บ่อยๆ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ผิวจะสดใสขึ้น เพราะมะนาวสามารถฟอกเลือดให้สะอาด จึงเท่ากับช่วยให้ผิวใสขึ้น ความหมองคล้ำดำกร้านหายไป
หรือจะใช้มะนาวขัดถูตามร่างกายสัปดาห์ละครั้งก็ช่วยให้ผิวกระจ่างขาวได้เช่นกัน
ส่วนมะเขือเทศนั้นช่วยฟื้นฟูสภาพผิวกร้านหยาบได้ดี เพราะมะเขือเทศช่วยป้องกันรังสียูวีได้ เนื่องจากมีสารสกัดเบต้าแคโรทีนและไลโคฟีน หลังจากผิวกรำแดดมากๆ จึงควรปรับสภาพผิวด้วยการกินมะเขือเทศสดๆ ดื่มน้ำมะเขือเทศหรือจะทุบๆ ยีๆ มะเขือเทศสดให้แหลกๆ เละๆ แล้วนำมาพอกใบหน้า แขน แผ่นหลังและบั้นท้ายสัก 15 นาทีก่อนอาบน้ำก็ได้
หรือจะใช้มะนาวขัดถูตามร่างกายสัปดาห์ละครั้งก็ช่วยให้ผิวกระจ่างขาวได้เช่นกัน
ส่วนมะเขือเทศนั้นช่วยฟื้นฟูสภาพผิวกร้านหยาบได้ดี เพราะมะเขือเทศช่วยป้องกันรังสียูวีได้ เนื่องจากมีสารสกัดเบต้าแคโรทีนและไลโคฟีน หลังจากผิวกรำแดดมากๆ จึงควรปรับสภาพผิวด้วยการกินมะเขือเทศสดๆ ดื่มน้ำมะเขือเทศหรือจะทุบๆ ยีๆ มะเขือเทศสดให้แหลกๆ เละๆ แล้วนำมาพอกใบหน้า แขน แผ่นหลังและบั้นท้ายสัก 15 นาทีก่อนอาบน้ำก็ได้
ส่วนผสม
ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 4 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย
วิธีทำ
1.ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วพักไว้
2.ใส่ น้ำลงในหม้อเคลือบ (ความเปรี้ยวจะละลายโลหะในหม้ออะลูมิเนียม) ตั้งไฟพอเดือด ใส่กระเจี๊ยบต้มจนออกสีแดงและเนื้อกระเจี๊ยบนุ่มสีจางลง เติมน้ำให้มีระดับเท่าเดิม จากนั้นกรองเอาแต่น้ำกระเจี๊ยบสีแดงสดนำขึ้นตั้งไฟต่อ
3.ใส่น้ำตาล เคี่ยวไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายหมด แล้วยกหม้อเคลือบลงทิ้งให้เย็น จะได้กระเจี๊ยบสีม่วงแดงรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมน่าดื่ม เทใส่ขวดสะอาดที่ต้มในน้ำร้อนแล้ว 20 นาที แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานหลายวัน เวลาดื่มให้เติมน้ำแข็งทุบจะเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก
สรรพคุณของกระเจี๊ยบ
แก้ กระหายน้ำ ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ เจ็บคอ ลดไขมันในเลือดได้เนื่องจากไปขัดขวางไม่ให้ไขมันเกาะเส้นเลือดทำให้ความดัน โลหิตลดลง และแก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่วที่เกิดจากสารที่เป็นด่างโดยต้มดอกกระเจี๊ยบกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้งติดต่อกันจนจนกว่าอาการปัสสาวะขัดจะหายไป
ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 4 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย
วิธีทำ
1.ล้างดอกกระเจี๊ยบแห้งด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดแล้วพักไว้
2.ใส่ น้ำลงในหม้อเคลือบ (ความเปรี้ยวจะละลายโลหะในหม้ออะลูมิเนียม) ตั้งไฟพอเดือด ใส่กระเจี๊ยบต้มจนออกสีแดงและเนื้อกระเจี๊ยบนุ่มสีจางลง เติมน้ำให้มีระดับเท่าเดิม จากนั้นกรองเอาแต่น้ำกระเจี๊ยบสีแดงสดนำขึ้นตั้งไฟต่อ
3.ใส่น้ำตาล เคี่ยวไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายหมด แล้วยกหม้อเคลือบลงทิ้งให้เย็น จะได้กระเจี๊ยบสีม่วงแดงรสหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมน่าดื่ม เทใส่ขวดสะอาดที่ต้มในน้ำร้อนแล้ว 20 นาที แช่เก็บไว้ในตู้เย็นได้นานหลายวัน เวลาดื่มให้เติมน้ำแข็งทุบจะเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก
สรรพคุณของกระเจี๊ยบ
แก้ กระหายน้ำ ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ เจ็บคอ ลดไขมันในเลือดได้เนื่องจากไปขัดขวางไม่ให้ไขมันเกาะเส้นเลือดทำให้ความดัน โลหิตลดลง และแก้ปัสสาวะขัด แก้นิ่วที่เกิดจากสารที่เป็นด่างโดยต้มดอกกระเจี๊ยบกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้งติดต่อกันจนจนกว่าอาการปัสสาวะขัดจะหายไป
ส่วนผสม
เหง้ากระชาย 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1.ล้าง เหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลาครั้งให้สะอาด บุบให้แหลกใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอมหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 10 นาทีให้สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม
2.กรอง ด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาทีแล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่า มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
คุณประโยชน์ ทั้งส่วนรากและต้นประกอบด้วยสารหอมระเหย สารเหล่านี้มีฤทธิ์ขับลมในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้แร่ธาตุต่างๆ แคลเซียม เหล็ก วิตามินเอและซีก็มีอยู่ไม่น้อย เหง้ากระชายใช้รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง ท้องอืดเฟ้อ และขับปัสสาวะ บำรุงกำลังและสมรรถภาพทางเพศอีกด้วยค่ะ
เหง้ากระชาย 1 ถ้วย
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1.ล้าง เหง้ากระชายด้วยน้ำเปล่าหลาครั้งให้สะอาด บุบให้แหลกใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด เอากระชายใส่ลงไปต้มจนเดือดมีกลิ่นหอมหรี่ไฟลง เคี่ยวต่อไป 10 นาทีให้สารที่มีคุณค่าในกระชายออกมา เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม
2.กรอง ด้วยผ้าขาวบางเอากากออกไป เติมน้ำตาลทรายแดงและต้มให้เดือดอีก 3 นาทีแล้วยกลง จะดื่มแบบร้อนคล่องคอ ได้น้ำกระชายสีเหลืองอ่อน รสเผ็ดปร่า มีกลิ่นของกระชายและกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
คุณประโยชน์ ทั้งส่วนรากและต้นประกอบด้วยสารหอมระเหย สารเหล่านี้มีฤทธิ์ขับลมในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้แร่ธาตุต่างๆ แคลเซียม เหล็ก วิตามินเอและซีก็มีอยู่ไม่น้อย เหง้ากระชายใช้รักษาโรคบิด แก้ปวดมวนท้อง ท้องอืดเฟ้อ และขับปัสสาวะ บำรุงกำลังและสมรรถภาพทางเพศอีกด้วยค่ะ
ส่วนผสม
เนื้อกระท้อน 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส 2/3 ถ้วย
วิธีทำ
1.เลือก กระท้อนห่อสุก จะมีเนื้อมากและมีรสหวานอมเปรี้ยว ปอกเปลือกออกหนาพอสมควรด้วยมีดสเตนเลส ล้างในน้ำมะนาวให้สะอาดและป้องกันไม่ให้กระท้อนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วสับ เป็นชิ้นเล็ก นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด ตักเอาเมล็ดออกไป ได้น้ำกระท้อนสีเนื้อนวล รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที รสหอมหวานอมเปรี้ยว ชุ่มคอและสดชื่นดีมาก
2.ถ้าต้องการน้ำกระท้อนปั่น ให้ใช้น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วยกับน้ำต้มสุก 1 ถ้วย กระท้อนกับน้ำเชื่อมในอัตราส่วนเดิม ได้รสชาติหอมอร่อยเย็นสดชื่น แต่ไม่ควรทิ้วไว้นานเพราะน้ำกระท้อนจะมีสีน้ำตาลขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รสชาติไม่ดี
คุณประโยชน์ ผลสุกจะมีวิตามินเอ วิตามินซี น้ำตาล แคลเซียมและฟอสฟอรัสใบสดนำมาต้มอาบน้ำช่วยลดไข้ รากเอามาฝนดื่มแก้ท้องเดินเปลือกของลำต้นเอามาฝนกับน้ำเพื่อทาแก้โรคผิวหนัง อักเสบ พุพอง
เนื้อกระท้อน 1 ถ้วย
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่างใส 2/3 ถ้วย
วิธีทำ
1.เลือก กระท้อนห่อสุก จะมีเนื้อมากและมีรสหวานอมเปรี้ยว ปอกเปลือกออกหนาพอสมควรด้วยมีดสเตนเลส ล้างในน้ำมะนาวให้สะอาดและป้องกันไม่ให้กระท้อนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วสับ เป็นชิ้นเล็ก นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด ตักเอาเมล็ดออกไป ได้น้ำกระท้อนสีเนื้อนวล รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที รสหอมหวานอมเปรี้ยว ชุ่มคอและสดชื่นดีมาก
2.ถ้าต้องการน้ำกระท้อนปั่น ให้ใช้น้ำแข็งทุบ 1 ถ้วยกับน้ำต้มสุก 1 ถ้วย กระท้อนกับน้ำเชื่อมในอัตราส่วนเดิม ได้รสชาติหอมอร่อยเย็นสดชื่น แต่ไม่ควรทิ้วไว้นานเพราะน้ำกระท้อนจะมีสีน้ำตาลขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รสชาติไม่ดี
คุณประโยชน์ ผลสุกจะมีวิตามินเอ วิตามินซี น้ำตาล แคลเซียมและฟอสฟอรัสใบสดนำมาต้มอาบน้ำช่วยลดไข้ รากเอามาฝนดื่มแก้ท้องเดินเปลือกของลำต้นเอามาฝนกับน้ำเพื่อทาแก้โรคผิวหนัง อักเสบ พุพอง
น้ำผักหรือน้ำผลไม้
เช้าๆ ท้องว่างนี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้วที่คุณจะส่งวิตามินเข้าไปบำรุงผิว เพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้ดีเป็นพิเศษ มื้อเช้าของผู้หญิงทุกวัยจึงควรจะมีน้ำผลไม้สดๆ เป็นเมนูปประจำ ดื่มแค่แก้วเดียวก็ได้ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิกแอซิด โซเดียม โพแทสเซียม สังกะสี น้ำตาล สาววัยเรียนวัยทำงานที่ต้องใช้สมองไม่ควรพลาด
นมถั่วเหลือง
ตอนเช้าร่างกายเราต้องการโปรตีนไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นมถั่วเหลืองนี่ล่ะที่โปรตีนเพียบ หาซื้อก็ง่าย เหมาะกับคนที่ต้องรีบออกจากบ้านจนไม่มีเวลานั่งทานมื้อเช้าให้เป็นเรื่องราว
น้ำมะนาว
วิธีล้างพิษที่ทำง่ายที่สุดคือ ตื่นเช้าขึ้นมาให้ดื่มน้ำเปล่าที่ผสมน้ำมะนาว 1 เสี้ยว จะกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวแล้วขับถ่ายเอาของเสียออกมา แต่ถ้าไม่ชอบจะเปลี่ยนมาดื่มน้ำมะนาวสดกับมื้อเช้าก็ได้ประโยชน์ไปอีกแบบ วิตามินซีจะทำให้ร่างกายสดชื่น ส่วนกลิ่นมะนาวเป็นกลิ่นบำบัด ช่วยกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว กระฉับกระเแง คุณจะได้มีพลังความแซบออกไปสู่งานได้อีกวันไงล่ะ
เช้าๆ ท้องว่างนี่ล่ะเหมาะที่สุดแล้วที่คุณจะส่งวิตามินเข้าไปบำรุงผิว เพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้ดีเป็นพิเศษ มื้อเช้าของผู้หญิงทุกวัยจึงควรจะมีน้ำผลไม้สดๆ เป็นเมนูปประจำ ดื่มแค่แก้วเดียวก็ได้ทั้งวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิกแอซิด โซเดียม โพแทสเซียม สังกะสี น้ำตาล สาววัยเรียนวัยทำงานที่ต้องใช้สมองไม่ควรพลาด
นมถั่วเหลือง
ตอนเช้าร่างกายเราต้องการโปรตีนไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นมถั่วเหลืองนี่ล่ะที่โปรตีนเพียบ หาซื้อก็ง่าย เหมาะกับคนที่ต้องรีบออกจากบ้านจนไม่มีเวลานั่งทานมื้อเช้าให้เป็นเรื่องราว
น้ำมะนาว
วิธีล้างพิษที่ทำง่ายที่สุดคือ ตื่นเช้าขึ้นมาให้ดื่มน้ำเปล่าที่ผสมน้ำมะนาว 1 เสี้ยว จะกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวแล้วขับถ่ายเอาของเสียออกมา แต่ถ้าไม่ชอบจะเปลี่ยนมาดื่มน้ำมะนาวสดกับมื้อเช้าก็ได้ประโยชน์ไปอีกแบบ วิตามินซีจะทำให้ร่างกายสดชื่น ส่วนกลิ่นมะนาวเป็นกลิ่นบำบัด ช่วยกระตุ้นประสาทให้ตื่นตัว กระฉับกระเแง คุณจะได้มีพลังความแซบออกไปสู่งานได้อีกวันไงล่ะ
ใช้เป็นอาหาร เป็นผักทำแกงจืดหมูสับ สลัดผัก ปรุงอาหารได้อีกหลายอย่าง ทำส้มตำแบบมะละกอ เอาไปดอง ขูดละเอียดนำไปกวนทำขนมแกะสลักเพื่อตกแต่งอาหาร และทำน้ำผลไม้
คุณประโยชน์ มีสารเบต้าแคโรทีนสูงมากทำให้มีสีส้ม ทั้งเป็นสารต้านมะเร็งและต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ชรา ทำให้หลอดเลือดดี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สารเบต้าคาโรทีนทนความร้อน และร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้นทานแครอตต้มสุก จะได้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี ไนอาซีน และอื่นๆ ช่วยบำรุงร่างกาย สายตา มีโพอแทสเซียมสูง ช่วยขับปัสสาวะ มีแคลเซียมเพคเตทซึ่งเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำได้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน เลือด น้ำแครอตผสมมะนาวมาทาบริเวณผิวหน้าเป็นยาบำรุงผิว ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ใช้ทาป้องหันแดดมีน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ขับพยาธิไส้เดือน
น้ำแครอต
ส่วนผสม
แครอตหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่้างใน 2/3 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ
1. ล้างแครอตให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่เอาแกนที่แข็ง เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยปั่นให้ละเอียดดีแล้วจึงเติมน้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือ เติมน้ำต้มสุกที่เหลือตามส่วนผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้รสหวานอมเปรี้ยวและรู้สึกอิ่มด้วย
2. ทำน้ำแครอตปั่นด้วยการเอาน้ำแข็งทุบเติมไป 1 ถ้วยแทนน้ำต้มสุกที่่เติมครั้งหลัง
คุณประโยชน์ มีสารเบต้าแคโรทีนสูงมากทำให้มีสีส้ม ทั้งเป็นสารต้านมะเร็งและต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ชรา ทำให้หลอดเลือดดี เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สารเบต้าคาโรทีนทนความร้อน และร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้นทานแครอตต้มสุก จะได้โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี ไนอาซีน และอื่นๆ ช่วยบำรุงร่างกาย สายตา มีโพอแทสเซียมสูง ช่วยขับปัสสาวะ มีแคลเซียมเพคเตทซึ่งเป็นเส้นใยชนิดละลายน้ำได้สามารถลดระดับคอเลสเตอรอลใน เลือด น้ำแครอตผสมมะนาวมาทาบริเวณผิวหน้าเป็นยาบำรุงผิว ลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ใช้ทาป้องหันแดดมีน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ขับพยาธิไส้เดือน
น้ำแครอต
ส่วนผสม
แครอตหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
น้ำเชื่อมอย่้างใน 2/3 ถ้วย
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 2 ถ้วย
เกลือเล็กน้อย
วิธีทำ
1. ล้างแครอตให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่เอาแกนที่แข็ง เติมน้ำต้มสุก 1 ถ้วยปั่นให้ละเอียดดีแล้วจึงเติมน้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือ เติมน้ำต้มสุกที่เหลือตามส่วนผสมให้เข้ากัน รินใส่แก้วที่มีน้ำแข็งทุบ ได้รสหวานอมเปรี้ยวและรู้สึกอิ่มด้วย
2. ทำน้ำแครอตปั่นด้วยการเอาน้ำแข็งทุบเติมไป 1 ถ้วยแทนน้ำต้มสุกที่่เติมครั้งหลัง
ใช้เป็นอาหาร ลำต้นใช้เป็นเครื่องเทศ ดับกลิ่นคาวในอาหาร ทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่าทาน ทำน้ำตะไคร้
คุณประโยชน์ ทั้งต้นและใบมีน้ำหอมระเหยหลายชนิด 0.4-0.8% โดยมากเป็น citral กลิ่นหอมนี้ถูกนำไปใช้แต่้งกลิ่นสบู่และเครื่องสำอาง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ใบและรากมีสารคล้ายอิืนซูลินมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ดื่มน้ำตะไคร้ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับปัสสาวะและเหงื่อ ลดความเครียด ปวดท้อง แก้ไข้หวัด โดยเอาลำต้นมาต้มกับน้ำเพื่อดื่ม แต่ควรระวังอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ
น้ำตะไคร้
ส่วนผสม
ต้นตะไคร้ 7 ต้น
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ตัดตะไคร้ต้นแก่ทั้งต้นและใบ มาล้างสะอาด บุบลำต้นพอแตกแล้วตัดทำเป็นท่้อน นำไปต้มในน้ำให้ของดีในตะไคร้ออกมา เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง รอจนกระทั่งน้ำที่ต้มมีสีเขียวจึงกรองเอากากทิ้งไป
2. น้ำตะไคร้ที่กรองแล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือดอีกครั้ง ยกลงดื่มร้อนๆ คล่องคอ หอมหวาน ได้กลิ่นตะไคร้และกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
3. ถ้าจะดื่มแบบชงชา ให้ซอยตะไคร้เป็นแว่น แล้วนำไปคั่วไฟอ่อนพอเหลืองหอม ชงน้ำร้อนดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างรสปร่า กลิ่นหอม เผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าเติมน้ำตาลแล้วความหวานจะกลบสิ่งเหล่านั้นไปจนไม่รู้สึก
คุณประโยชน์ ทั้งต้นและใบมีน้ำหอมระเหยหลายชนิด 0.4-0.8% โดยมากเป็น citral กลิ่นหอมนี้ถูกนำไปใช้แต่้งกลิ่นสบู่และเครื่องสำอาง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ใบและรากมีสารคล้ายอิืนซูลินมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ดื่มน้ำตะไคร้ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับปัสสาวะและเหงื่อ ลดความเครียด ปวดท้อง แก้ไข้หวัด โดยเอาลำต้นมาต้มกับน้ำเพื่อดื่ม แต่ควรระวังอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ
น้ำตะไคร้
ส่วนผสม
ต้นตะไคร้ 7 ต้น
น้ำสะอาด 3 ถ้วย
น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ตัดตะไคร้ต้นแก่ทั้งต้นและใบ มาล้างสะอาด บุบลำต้นพอแตกแล้วตัดทำเป็นท่้อน นำไปต้มในน้ำให้ของดีในตะไคร้ออกมา เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง รอจนกระทั่งน้ำที่ต้มมีสีเขียวจึงกรองเอากากทิ้งไป
2. น้ำตะไคร้ที่กรองแล้วเติมน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำให้ได้ระดับเท่าเดิม ต้มให้เดือดอีกครั้ง ยกลงดื่มร้อนๆ คล่องคอ หอมหวาน ได้กลิ่นตะไคร้และกลิ่นน้ำตาลทรายแดง หรือจะดื่มแบบเย็นกับน้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
3. ถ้าจะดื่มแบบชงชา ให้ซอยตะไคร้เป็นแว่น แล้วนำไปคั่วไฟอ่อนพอเหลืองหอม ชงน้ำร้อนดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่างรสปร่า กลิ่นหอม เผ็ดเล็กน้อย แต่ถ้าเติมน้ำตาลแล้วความหวานจะกลบสิ่งเหล่านั้นไปจนไม่รู้สึก
มาทำความรู้จักประโยชน์ของอัญชัน แบ่งตามส่วนต่างๆ ต่อไปนี้
ดอก เนื่องจากดอกอัญชันมีสารแอนโทไซยานิน ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนภายในหลอดเลือดเล็กๆ ส่วนปลาย ทำให้รากผมแข็งแรง ผมดกดำเงางาม และเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของดวงตา ป้องกันตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน ต้อหิน และต้อกระจก
ราก มีสรรพคุณขับปัสสาวะและเป็นยาระบาย อีกทั้งนำมาถูฟันเพื่อช่วยลดอาการปวด และเพิ่มความแข็งแรงของฟันได้อีกด้วย
เมื่อมีประโยชน์ซะขนาดนี้ เราทำน้ำดอกอัญชันสดดื่มกันเถอะ
1. นำดอกอัญชันสด 1 ขีด ล้างให้สะอาด ใส่หม้อ
2. เติมน้ำ 2 ถ้วย
3. ต้มด้วยไฟปานกลางจนเดือด ยกลง โดยยังปิดฝาหม้อทิ้งไว้ครู่หนึ่ง
4. กรองดอกอัญชันออกด้วยผ้าขาวบางให้เหลือแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายแดงพอให้รสกลมกล่อม
ดอก เนื่องจากดอกอัญชันมีสารแอนโทไซยานิน ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนภายในหลอดเลือดเล็กๆ ส่วนปลาย ทำให้รากผมแข็งแรง ผมดกดำเงางาม และเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นของดวงตา ป้องกันตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน ต้อหิน และต้อกระจก
ราก มีสรรพคุณขับปัสสาวะและเป็นยาระบาย อีกทั้งนำมาถูฟันเพื่อช่วยลดอาการปวด และเพิ่มความแข็งแรงของฟันได้อีกด้วย
เมื่อมีประโยชน์ซะขนาดนี้ เราทำน้ำดอกอัญชันสดดื่มกันเถอะ
1. นำดอกอัญชันสด 1 ขีด ล้างให้สะอาด ใส่หม้อ
2. เติมน้ำ 2 ถ้วย
3. ต้มด้วยไฟปานกลางจนเดือด ยกลง โดยยังปิดฝาหม้อทิ้งไว้ครู่หนึ่ง
4. กรองดอกอัญชันออกด้วยผ้าขาวบางให้เหลือแต่น้ำ เติมน้ำตาลทรายแดงพอให้รสกลมกล่อม
มะระขี้นำเป็นผัก พื้นบ้าน ที่พบได้ทุกภาค แถมมีชื่อ เรียกท้องถิ่นมากมาย ภาคกลาง เรียก มะระหนู ส่วนเหนือ เรียก มะไห่ หรือ ผักไห่ คล้ายกับภาคอีสาน ที่เรียกทั้ง ผักไห่และผักไซร้
นอกจากชื่อหลากหลายแล้ว มะระขี้นกยังมีสรรพคุณทางยามากมายเช่นกัน ทั้งแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดไข้ และลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แถมมีวิืตามินเอสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของสายตาและลดการเกิดโรคต้อกระจกได้อีกด้วย
สูตร "ชามะระขี้นก" ทำได้ไม่ยาก เริ่มจากนำผลมะระขี้นกกับใบชามาบดให้เป็นเนื้อเดียวกันเกลี่ยให้กระจายบน ภาชนะ ตากในที่ร่มมีลมโกรกหรือนำเข้าตู้อบ อบจนแห้งสนิทก่อนบดซ้ำเป็นผงเก็บไว้ชงดื่ม
นอกจากชื่อหลากหลายแล้ว มะระขี้นกยังมีสรรพคุณทางยามากมายเช่นกัน ทั้งแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดไข้ และลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แถมมีวิืตามินเอสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของสายตาและลดการเกิดโรคต้อกระจกได้อีกด้วย
สูตร "ชามะระขี้นก" ทำได้ไม่ยาก เริ่มจากนำผลมะระขี้นกกับใบชามาบดให้เป็นเนื้อเดียวกันเกลี่ยให้กระจายบน ภาชนะ ตากในที่ร่มมีลมโกรกหรือนำเข้าตู้อบ อบจนแห้งสนิทก่อนบดซ้ำเป็นผงเก็บไว้ชงดื่ม
ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Successlaser 3 ของเกอร์แลง ที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่โรงแรมสุโขทัย นอกจากจะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาเผยโฉมแล้ว ยังมอบรางวัล "เกอร์แลง โมส ซัคเซสฟู เลดี้ ออฟ เดอะ เยียร์" ที่ผ่านการคัดเลือกในคุณสมบัติต่าง ๆ 3 ประเภท
สุภาพสตรีไทยที่ได้รับรางวัลได้แก่ ม.ล.รดีเทพ บุรณศิริ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสัดส่วนธุรกิจวิภัช สายงานวิภัชธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย สุภาพสตรีที่ประสบความสำเร็จพร้อมด้านการงานและชีวิตครอบครัว, ม.ล.นันทิกา วรวรรณ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และโฆษณา บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด สุภาพสตรีที่มีความงามสง่า มีบุคลิกเฉพาะตัวเหมาะสมกับสังคมไทย, นางภราไดย สุรรณรัฐ มารดานายภูริ หิรัญพฤกษ์ นักแสดงหนุ่มชื่อดัง สุภาพสตรี ที่มีความพิถีพิถันและมีชีวิตเกี่ยวเนื่องกับศิลปะงดงามสมวัย
ม.ล.รดีเทพ บุรณศิริ กล่าวว่า ปัจจุบันมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสามี และลูกสาวสองคน วัย 7 ขวบและ 5 ขวบ พร้อมกับงานนอกบ้าน การแบ่งเวลาให้สิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ โดยวันจันทร์- ศุกร์ ทำงาน วันเสาร์-อาทิตย์ให้เวลาครอบครัวเต็มที่
เคล็ดลับการดูแลตัวเองของ ม.ล.รดีเทพ เจ้าตัวบอกไม่มีอะไรมาก เพราะชีวิตประจำวันต้องอาศัยความรวดเร็ว ตื่นเช้ามาจะต้องดูแลลูก ดูแลตัวเองด้วย หากมีเวลาว่างจะนวดหน้าไปที่ร้านหรือนวดเองบ้าง ส่วนรูปร่างดูแลด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ผลไม้ ไม่กินของจุกจิก พยายามดื่มกาแฟวันละ 1 ถ้วยเท่านั้น ผิวพรรณไม่ได้ทำอะไรมาก หากต้องซื้อเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวพรรณใช้ จะถามข้อมูลชัดเจนก่อนว่าประกอบด้วยอะไร หากเหมาะสมกับตัวเองจะซื้อมาใช้แบบทดลองใช้ เมื่อถูกกับสภาพผิวจะใช้ตลอด
ม.ล.นันทิกา วรวรรณ กล่าวว่า งานที่ทำข้องเกี่ยวกับการเดินทางบ่อย การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญเริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบเวลาดูแลตัวเอง ตั้งแต่เช้าจะกินอาหารเช้าเป็นอาหารเสริม น้ำผลไม้ ขนมปังธัญพืช, กลางวันและตอนเย็นกินตามปกติ ช่วงเวลาวันอาทิตย์จะเล่นโยคะ พยายามไม่เครียด
ม.ล.นันทิกากล่าวถึงการดูแลผิวพรรณว่า ก่อนนอนจะเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าให้สะอาดและพยายามบำรุงผิวพรรณทั้งการกิน วิตามิน บำรุงข้างใน ส่วนการบำรุงข้างนอกจะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมาบำรุงหน้าซึ่งตนจะลงทุนตรงนี้ มาก ส่วนเวลาเครียดจะเข้า สปา นวดหน้า นวดตัว การดูแลบุคลิกภาพให้ดูดีเน้นหลักการคงสภาพความอ่อนโยน มีมารยาทของสตรีไทยไว้ หากไปงานแล้วเจอสุภาพสตรีที่มีบุคคลิกดีงามสง่าจะดูเป็นตัวอย่างนำมาปรับใช้ กับตัวเองบ้าง ไม่ถึงกับลอกเลียนแบบเพราะนั่นไม่ใช่ตัวเอง
นางภราไดย สุรรณรัฐ กล่าวว่า ปัจจุบันอายุ 54 ปี เกษียณจากการทำงาน ผอ.ประชาสัมพันธ์โรงแรมแอม บาสซาเดอร์ แล้ว ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากรับงานแสดงละครบ้าง การดูแลผิวพรรณหน้าตาไม่ได้พึ่งศัลยกรรม แต่เน้นการดูแลใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลหน้า นวดหน้า ออกกำลังกาย มองโลกในแง่ดีเพื่อให้จิตใจดี เมื่อจิตใจดีผิวพรรณจะดูดีตามไปด้วย ส่วนร่างกายยกเวต ซิท-อัพลดหน้าท้อง
"การเป็นคนสวยสมวัย ในความคิดเห็นต้องเป็นคนแข็งแรง ดูแลตัวเองด้านต่าง ๆ ทุกวันนี้ร่างกายแข็งแรงดี หมอแนะไม่ให้ทานไขมัน คาร์โบไฮเดรตมากก็จะปฏิบัติตาม ส่วนเรื่องบุคลิกภาพที่ดูดีนั้น คงต้องยกให้คุณครูโรงเรียนจิตรลดาที่อบรมสั่งสอนมาอย่างดี" นางภราไดยกล่าวถึงนิยามของคำว่า "สวยสมวัย"
สุภาพสตรีไทยที่ได้รับรางวัลได้แก่ ม.ล.รดีเทพ บุรณศิริ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสัดส่วนธุรกิจวิภัช สายงานวิภัชธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย สุภาพสตรีที่ประสบความสำเร็จพร้อมด้านการงานและชีวิตครอบครัว, ม.ล.นันทิกา วรวรรณ รองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และโฆษณา บริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด สุภาพสตรีที่มีความงามสง่า มีบุคลิกเฉพาะตัวเหมาะสมกับสังคมไทย, นางภราไดย สุรรณรัฐ มารดานายภูริ หิรัญพฤกษ์ นักแสดงหนุ่มชื่อดัง สุภาพสตรี ที่มีความพิถีพิถันและมีชีวิตเกี่ยวเนื่องกับศิลปะงดงามสมวัย
ม.ล.รดีเทพ บุรณศิริ กล่าวว่า ปัจจุบันมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสามี และลูกสาวสองคน วัย 7 ขวบและ 5 ขวบ พร้อมกับงานนอกบ้าน การแบ่งเวลาให้สิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญ โดยวันจันทร์- ศุกร์ ทำงาน วันเสาร์-อาทิตย์ให้เวลาครอบครัวเต็มที่
เคล็ดลับการดูแลตัวเองของ ม.ล.รดีเทพ เจ้าตัวบอกไม่มีอะไรมาก เพราะชีวิตประจำวันต้องอาศัยความรวดเร็ว ตื่นเช้ามาจะต้องดูแลลูก ดูแลตัวเองด้วย หากมีเวลาว่างจะนวดหน้าไปที่ร้านหรือนวดเองบ้าง ส่วนรูปร่างดูแลด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ผลไม้ ไม่กินของจุกจิก พยายามดื่มกาแฟวันละ 1 ถ้วยเท่านั้น ผิวพรรณไม่ได้ทำอะไรมาก หากต้องซื้อเครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวพรรณใช้ จะถามข้อมูลชัดเจนก่อนว่าประกอบด้วยอะไร หากเหมาะสมกับตัวเองจะซื้อมาใช้แบบทดลองใช้ เมื่อถูกกับสภาพผิวจะใช้ตลอด
ม.ล.นันทิกา วรวรรณ กล่าวว่า งานที่ทำข้องเกี่ยวกับการเดินทางบ่อย การดูแลตัวเองเป็นเรื่องสำคัญเริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบเวลาดูแลตัวเอง ตั้งแต่เช้าจะกินอาหารเช้าเป็นอาหารเสริม น้ำผลไม้ ขนมปังธัญพืช, กลางวันและตอนเย็นกินตามปกติ ช่วงเวลาวันอาทิตย์จะเล่นโยคะ พยายามไม่เครียด
ม.ล.นันทิกากล่าวถึงการดูแลผิวพรรณว่า ก่อนนอนจะเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าให้สะอาดและพยายามบำรุงผิวพรรณทั้งการกิน วิตามิน บำรุงข้างใน ส่วนการบำรุงข้างนอกจะซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมาบำรุงหน้าซึ่งตนจะลงทุนตรงนี้ มาก ส่วนเวลาเครียดจะเข้า สปา นวดหน้า นวดตัว การดูแลบุคลิกภาพให้ดูดีเน้นหลักการคงสภาพความอ่อนโยน มีมารยาทของสตรีไทยไว้ หากไปงานแล้วเจอสุภาพสตรีที่มีบุคคลิกดีงามสง่าจะดูเป็นตัวอย่างนำมาปรับใช้ กับตัวเองบ้าง ไม่ถึงกับลอกเลียนแบบเพราะนั่นไม่ใช่ตัวเอง
นางภราไดย สุรรณรัฐ กล่าวว่า ปัจจุบันอายุ 54 ปี เกษียณจากการทำงาน ผอ.ประชาสัมพันธ์โรงแรมแอม บาสซาเดอร์ แล้ว ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากรับงานแสดงละครบ้าง การดูแลผิวพรรณหน้าตาไม่ได้พึ่งศัลยกรรม แต่เน้นการดูแลใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลหน้า นวดหน้า ออกกำลังกาย มองโลกในแง่ดีเพื่อให้จิตใจดี เมื่อจิตใจดีผิวพรรณจะดูดีตามไปด้วย ส่วนร่างกายยกเวต ซิท-อัพลดหน้าท้อง
"การเป็นคนสวยสมวัย ในความคิดเห็นต้องเป็นคนแข็งแรง ดูแลตัวเองด้านต่าง ๆ ทุกวันนี้ร่างกายแข็งแรงดี หมอแนะไม่ให้ทานไขมัน คาร์โบไฮเดรตมากก็จะปฏิบัติตาม ส่วนเรื่องบุคลิกภาพที่ดูดีนั้น คงต้องยกให้คุณครูโรงเรียนจิตรลดาที่อบรมสั่งสอนมาอย่างดี" นางภราไดยกล่าวถึงนิยามของคำว่า "สวยสมวัย"
อ่านเจอ และทดลองกับตัวเองอยู่ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับน้ำช่วยลดความอ้วนไ้ด้จริงๆนะ
ทีแรกเรก็ไม่เชื่อแต่ก็ได้ทดลองดูเป็นวิธีง่ายๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายมาก
ปรกติ เราต้องทานน้ำอยุ่แล้วทุกวันแต่ถ้าเราทานวันละ 6-8 แก้วต่อวันก็จะช่วยลดความอ้วนได้ดีที่เดียวเพราะน้ำจะไปช่วยพาของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย และยังพาสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือดอีกด้วย และยังช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายเราอีกด้วย
ที่นี้ทำไมการดื่มน้ำ วันละ 6 - 8 แก้วทำให้ลดน้ำหนักได้ ก็เพราะน้ำจะไปช้วยเผาพลาญไขมันในร่างกายนะครับ เราำได้ทดลองแล้วก็ลดได้จริงๆ และก็ได้ถามน้องอีกคนที่เป็นประเำภทสอง น้องเขาผิวดีและหุ่นดีมากเลย ว่าทำไงถึงได้ดูดีเป็นผู้หญิงเลย น้องเขาบอกว่าทานน้ำมากๆในแต่ละว้นจะทำให้ดูดีแบบนี้ละค่ะ
ทีแรกเรก็ไม่เชื่อแต่ก็ได้ทดลองดูเป็นวิธีง่ายๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายมาก
ปรกติ เราต้องทานน้ำอยุ่แล้วทุกวันแต่ถ้าเราทานวันละ 6-8 แก้วต่อวันก็จะช่วยลดความอ้วนได้ดีที่เดียวเพราะน้ำจะไปช่วยพาของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย และยังพาสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือดอีกด้วย และยังช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายเราอีกด้วย
ที่นี้ทำไมการดื่มน้ำ วันละ 6 - 8 แก้วทำให้ลดน้ำหนักได้ ก็เพราะน้ำจะไปช้วยเผาพลาญไขมันในร่างกายนะครับ เราำได้ทดลองแล้วก็ลดได้จริงๆ และก็ได้ถามน้องอีกคนที่เป็นประเำภทสอง น้องเขาผิวดีและหุ่นดีมากเลย ว่าทำไงถึงได้ดูดีเป็นผู้หญิงเลย น้องเขาบอกว่าทานน้ำมากๆในแต่ละว้นจะทำให้ดูดีแบบนี้ละค่ะ
ากใครเคยหิวจนมือ ไม้สั่น ไม่มีแรงพอที่จะออกไปซื้ออาหารมารับประทานเหมือนทุกครั้ง และหาอาหารอะไรก็ได้ใส่ท้องเพียงแค่ประทังชีวิต โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพเท่าที่ควรนั้น ในวันนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินมากขึ้นแล้ว เพราะอาหารบางประเภทไม่เหมาะที่จะรับประทานในช่วงท้องว่างๆ ส่วนมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ
1.นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
2.น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรา รู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3.ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4.กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5.ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือ ของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6.ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7.เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
อย่าง ไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย
ข้อมูล : ผู้จัดการ
***เอามาให้อ่านค่ะ..เพราะเห็นว่าหลายคนชอบกินอย่างน้ำเต้าหู้ นม สลัด และกล้วย ตอนท้องว่างกันบ่อยๆอะค่ะ***
1.นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
2.น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรา รู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3.ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4.กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5.ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือ ของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6.ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7.เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
อย่าง ไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย
ข้อมูล : ผู้จัดการ
***เอามาให้อ่านค่ะ..เพราะเห็นว่าหลายคนชอบกินอย่างน้ำเต้าหู้ นม สลัด และกล้วย ตอนท้องว่างกันบ่อยๆอะค่ะ***
ไม่ใช่การทอดอาหาร งดอาหารบางมื้ออย่างที่เข้าใจกัน แตต้องกินให้น้อยและให้ถูกชนิด ให้ได้สารอาหารครบหลัก 5 หมู่ และตัดอาหาร "Junk Food" เหล่านี้ออกไป (จะกินต่อเมื่อจะไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง นานๆ ครั้งไม่เป็นไร) แล้วกลัมมากินอาหารอย่างไทยๆ และขอให้เน้นที่ผักผลไม้ให้มากกว่เนื้อสัตว์ ซึ่งถ้าเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์เป็นเนื้อปลาแทน ก็จะดีอย่างยิ่งทีเดียว
เลือกชนิดของอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งให้น้อยที่สุดอย่างข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น ยิ่งต้องเลือกกินประเภทที่ออกตามฤดูกาลและมีอยู่ในท้องถิ่นตัวงเองเป็นดีที่ สุด จะมีทั้งความสด เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอาหาร
การกินอาหารต้องให้ตรงเวลาเพราะจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลและทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพราะร่างกายจะสั่งโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกินให้หลั่งสารต่างๆ ที่ใช้ในการย่อยอาหาร หากกินไม่ตรงเวลาที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายกลายเป็นโรคกระเพาะ....ถามหาได
เทคนิคการกินอย่างหนึ่งก็คือ กินช้าๆ เคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้ลชะเอียด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง และจะต้องไม่อดอาหารเพราะการอดอาหารเพื่อรีดน้ำหนัก จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางประเภทที่ร่างกายต้องการ
ที่สำคัญหลังจากการปรับเปลี่ยนอาหารให้มาอยู่กับอาหารพื้นถิ่นของไทยแล้ว พฤติกรรมการกินบางอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน แม้จะปรับเปลี่ยนไม่ได้ทีเดียวก็จะขอเสนอให้ลองทำดู
คนอ้วนส่วนใหญ่จะกินอาหารจุกจิกเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสิ่งนี้ หลายคนแก้ไม่หายหรือแก้ยาก ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำไปทีละขึ้น
เลือกชนิดของอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งให้น้อยที่สุดอย่างข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น ยิ่งต้องเลือกกินประเภทที่ออกตามฤดูกาลและมีอยู่ในท้องถิ่นตัวงเองเป็นดีที่ สุด จะมีทั้งความสด เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอาหาร
การกินอาหารต้องให้ตรงเวลาเพราะจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลและทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพราะร่างกายจะสั่งโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกินให้หลั่งสารต่างๆ ที่ใช้ในการย่อยอาหาร หากกินไม่ตรงเวลาที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายกลายเป็นโรคกระเพาะ....ถามหาได
เทคนิคการกินอย่างหนึ่งก็คือ กินช้าๆ เคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้ลชะเอียด เพราะจะทำให้กินได้น้อยลง และจะต้องไม่อดอาหารเพราะการอดอาหารเพื่อรีดน้ำหนัก จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางประเภทที่ร่างกายต้องการ
ที่สำคัญหลังจากการปรับเปลี่ยนอาหารให้มาอยู่กับอาหารพื้นถิ่นของไทยแล้ว พฤติกรรมการกินบางอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน แม้จะปรับเปลี่ยนไม่ได้ทีเดียวก็จะขอเสนอให้ลองทำดู
คนอ้วนส่วนใหญ่จะกินอาหารจุกจิกเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสิ่งนี้ หลายคนแก้ไม่หายหรือแก้ยาก ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำไปทีละขึ้น
ส่วนผสม
หอยแมลงภู่นึ่งสุก 14 ตัว
กุ้งกุลาดำ (ตัวเล็ก) 10 ตัว
มะเขือเปราะ 6 ผล
กระชาย 2 หัว
ปลาหมึก (ขนาดกลาง) 2 ตัว
ใบโหระพา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปิ๊บ 1/2 ช้อนชา
พริกชี้ฟ้า 4 เม็ด
ใบมะกรูด 6 ใบ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย 2 ถ้วยเล็ก
วิธีปรุง
-เอา ปลาหมึกและกุ้งไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือกกุ้ง ผ่าหลัง ดึงเส้นดำทิ้ง ส่วนปลาหมึกให้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ส่วนหอยแมลงภู่แกะใส่ถ้วยรอไว้
-ล้าง ผักทุกชนิดให้สะอาดปราศจากสารเคมีตกค้าง แล้วหั่นมะเขือเปราะเป็นชิ้นๆ ซอยพริกชี้ฟ้าตามต้องการ ใบมะกรูดซอย เป็นเส้นฝอยเช่นเดียวกับกระชาย
-ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช พอร้อนได้ที่แล้วใส่น้ำพริกแกงลง ผัดจนหอม นำปลาหมึก กุ้ง และหอยแมลงภู่ลงผัด (ไฟปานกลาง)
-ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ค่อยๆ เทน้ำสะอาดลง กระทะ รอให้เดือดจึงใส่มะเขือเปราะ ตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยใบโหระพา กินกับข้าวสวย
หอยแมลงภู่นึ่งสุก 14 ตัว
กุ้งกุลาดำ (ตัวเล็ก) 10 ตัว
มะเขือเปราะ 6 ผล
กระชาย 2 หัว
ปลาหมึก (ขนาดกลาง) 2 ตัว
ใบโหระพา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปิ๊บ 1/2 ช้อนชา
พริกชี้ฟ้า 4 เม็ด
ใบมะกรูด 6 ใบ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย 2 ถ้วยเล็ก
วิธีปรุง
-เอา ปลาหมึกและกุ้งไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือกกุ้ง ผ่าหลัง ดึงเส้นดำทิ้ง ส่วนปลาหมึกให้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ส่วนหอยแมลงภู่แกะใส่ถ้วยรอไว้
-ล้าง ผักทุกชนิดให้สะอาดปราศจากสารเคมีตกค้าง แล้วหั่นมะเขือเปราะเป็นชิ้นๆ ซอยพริกชี้ฟ้าตามต้องการ ใบมะกรูดซอย เป็นเส้นฝอยเช่นเดียวกับกระชาย
-ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช พอร้อนได้ที่แล้วใส่น้ำพริกแกงลง ผัดจนหอม นำปลาหมึก กุ้ง และหอยแมลงภู่ลงผัด (ไฟปานกลาง)
-ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ค่อยๆ เทน้ำสะอาดลง กระทะ รอให้เดือดจึงใส่มะเขือเปราะ ตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยใบโหระพา กินกับข้าวสวย
บัน |
ส่วนผสม
เห็ดหอมแห้ง 4 ดอก
ปีกไก่บน 4 ชิ้น
หน่อไม้ไผ่ตงอ่อน 1 ถ้วยตวง
กระเทียมแกะเปลือก 8 กลีบ
ขึ้นฉ่ายซอย 2 ช้อนโต๊ะ
เม็ดพริกไทย 15 เม็ด
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 5 ถ้วยตวง
วิธีประง
-นำเห็ดหอมลงแช่น้ำจนเห็ดนิ่ม พักให้สะเด็ดน้ำ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
-หั่นหน่อไม้ไผ่ตงเป็นแว่นบางๆ เทน้ำสะอาด 2 ถ้วยตวงใส่หม้อต้มจนเดือดใส่หน่อไม้ไผ่ตงลงไป ต้มจนสุก ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
-เทน้ำสะอาดอีก 3 ถ้วยตวงใส่หม้อต้ม ใส่กระเทียมและเม็ดพริกไทยต้มจนเดือดแล้วค่อยใส่ปีกไก่ รอให้เดือดอีกครั้ง
-ใส่หน่อไม้และเห็ดหอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ้วขาว ชิมรสให้ถูกปาก ยกลงตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยขึ้นฉ่ายซอย กินได้ทันที
เห็ดหอมแห้ง 4 ดอก
ปีกไก่บน 4 ชิ้น
หน่อไม้ไผ่ตงอ่อน 1 ถ้วยตวง
กระเทียมแกะเปลือก 8 กลีบ
ขึ้นฉ่ายซอย 2 ช้อนโต๊ะ
เม็ดพริกไทย 15 เม็ด
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 5 ถ้วยตวง
วิธีประง
-นำเห็ดหอมลงแช่น้ำจนเห็ดนิ่ม พักให้สะเด็ดน้ำ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
-หั่นหน่อไม้ไผ่ตงเป็นแว่นบางๆ เทน้ำสะอาด 2 ถ้วยตวงใส่หม้อต้มจนเดือดใส่หน่อไม้ไผ่ตงลงไป ต้มจนสุก ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
-เทน้ำสะอาดอีก 3 ถ้วยตวงใส่หม้อต้ม ใส่กระเทียมและเม็ดพริกไทยต้มจนเดือดแล้วค่อยใส่ปีกไก่ รอให้เดือดอีกครั้ง
-ใส่หน่อไม้และเห็ดหอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ้วขาว ชิมรสให้ถูกปาก ยกลงตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยขึ้นฉ่ายซอย กินได้ทันที
ส่วนผสม
แครอต 1/2 หัว
หมูบด 2 ขีด
แตงกวาผลใหญ่ 5 ผล
รากผักชี 3 ราก
เม็ดพริกไทย 15 เม็ด
ใบผักชีพอประมาณ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีปรุง
-ล้างผักให้สะอาดปราศจากสารเคมีตกค้าง
-ปอกเปลือแครอต หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ
-โขลกรากผักชีและเม็ดพริกไทยให้แหลกละเอียด นำไปคลุกเคล้ากับหมูบด แล้วยัดใส่ในแตงกวาจนแน่น จากนั้นตัดแตงกวาเป็นท่อนสั้นๆ
-ต้ม น้ำให้เดือด ใส่แตงกวาและแครแตลงไป ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลทราย ชิมให้ได้รสถูกปาก ยกลงตักใส่ชาม ปิดท้ายด้วยผักชีโรยหน้า กินได้ทันที*
แครอต 1/2 หัว
หมูบด 2 ขีด
แตงกวาผลใหญ่ 5 ผล
รากผักชี 3 ราก
เม็ดพริกไทย 15 เม็ด
ใบผักชีพอประมาณ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีปรุง
-ล้างผักให้สะอาดปราศจากสารเคมีตกค้าง
-ปอกเปลือแครอต หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ
-โขลกรากผักชีและเม็ดพริกไทยให้แหลกละเอียด นำไปคลุกเคล้ากับหมูบด แล้วยัดใส่ในแตงกวาจนแน่น จากนั้นตัดแตงกวาเป็นท่อนสั้นๆ
-ต้ม น้ำให้เดือด ใส่แตงกวาและแครแตลงไป ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาลทราย ชิมให้ได้รสถูกปาก ยกลงตักใส่ชาม ปิดท้ายด้วยผักชีโรยหน้า กินได้ทันที*
แกงเลียงผักรวมมิตร
ส่วนผสม
แครอต 1/2 หัว
ข้าวโพดอ่อน 5 ฝัก
ถั่วฝักยาว 3 ฝัก
ตำลึง 2 ขีด
บวบ 1/2 ผล
เห็ดนางฟ้า 1/2 ถ้วยตวง
ฟักทอง 1 ชิ้น ( 30 กรัม )
ใบแมงลัก 10-15 ใบ
หอมแดง 2 หัว
กุ้งกุลาดำ 10 ตัว
กุ้งแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ
กระชาย 1 ต้น
กะปิ 1/2 ช้อนชา
น้ำซุป 3 ถ้วยตวง
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีปรุง
-โขลกหอมแดง กระชาย และพริกไทยให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
-ใส่กุ้งแห้งกับกะปิตามลงไปโขลกรวมกันอีกครั้ง
-ล้างผักทุกชนิดให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ (ยกเว้นใบแมงลักและตำลึงให้เด็ดเป็นใบๆ)
-นำกุ้งมาแกะเปลือก ผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก
-เทน้ำซุปใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งเตาไฟ รอจนน้ำเดือดได้ที่จึงใส่เครื่องปรุงที่โขลกรวมกันลงไป คนให้ละลายเข้ากัน
-ปรุง รสด้วยน้ำปลาแล้วใส่ผักที่สุกยากไปก่อน ได้แก่ บวบ แครแต ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน และถั่วฝักยาว รอสักครู่จึงใส่เห็ดฟาง ตำลึง เห็ดนางฟ้า และปิดท้ายด้วยใบแมงลัก รอให้เดือด
-เมื่อน้ำเดือดอีกครั้งให้ใส่กุ้งสด ลงไป พอกุ้งสุกได้ที่ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วยในขณะที่ยังร้อนๆ กินเป็นอาหารมื้อหลักได้อิ่มสบายท้องโดยไม่ทำให้อ้วน*
ส่วนผสม
แครอต 1/2 หัว
ข้าวโพดอ่อน 5 ฝัก
ถั่วฝักยาว 3 ฝัก
ตำลึง 2 ขีด
บวบ 1/2 ผล
เห็ดนางฟ้า 1/2 ถ้วยตวง
ฟักทอง 1 ชิ้น ( 30 กรัม )
ใบแมงลัก 10-15 ใบ
หอมแดง 2 หัว
กุ้งกุลาดำ 10 ตัว
กุ้งแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ
กระชาย 1 ต้น
กะปิ 1/2 ช้อนชา
น้ำซุป 3 ถ้วยตวง
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีปรุง
-โขลกหอมแดง กระชาย และพริกไทยให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
-ใส่กุ้งแห้งกับกะปิตามลงไปโขลกรวมกันอีกครั้ง
-ล้างผักทุกชนิดให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ (ยกเว้นใบแมงลักและตำลึงให้เด็ดเป็นใบๆ)
-นำกุ้งมาแกะเปลือก ผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก
-เทน้ำซุปใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งเตาไฟ รอจนน้ำเดือดได้ที่จึงใส่เครื่องปรุงที่โขลกรวมกันลงไป คนให้ละลายเข้ากัน
-ปรุง รสด้วยน้ำปลาแล้วใส่ผักที่สุกยากไปก่อน ได้แก่ บวบ แครแต ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน และถั่วฝักยาว รอสักครู่จึงใส่เห็ดฟาง ตำลึง เห็ดนางฟ้า และปิดท้ายด้วยใบแมงลัก รอให้เดือด
-เมื่อน้ำเดือดอีกครั้งให้ใส่กุ้งสด ลงไป พอกุ้งสุกได้ที่ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วยในขณะที่ยังร้อนๆ กินเป็นอาหารมื้อหลักได้อิ่มสบายท้องโดยไม่ทำให้อ้วน*
ข้าวผัดเบญจรงค์ สำหรับ 3 ที่
ส่วนผสม
ข้าวสวย 3 ถ้วยตวง
หมูสับ 1 ขีด
ข้าวโพดต้ม 1/2 ถ้วยตวง
ถั่วฝักยาวซอย 1/2 ถ้วยตวง
ถั่วแดงต้ม 1/2 ถ้วยตวง
ฟักทองต้มสุกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
มะเขือเทศหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
แครอตหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย 2 ต้น
ผักชีซอย 2 ต้น
พริกไทยเล็กน้อย
วิธีปรุง
-ยกกระทะขึ้นตั้งไฟ พอร้อนได้ที่ให้ใส่น้ำมัน ใส่กระเทียมเจียวจนหอมได้ที่
-ใส่หมูสับ ถั่วฟักยาว แครอต ฟักทอง ถั่วแดง ข้าวโพด
-ใส่เครื่องปรุงคือซอสปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล ผัดจนสุกได้ที่
-เทข้าวสวยที่เตรียมไว้ผัดรวมให้เข้ากัน ใส่มะเขือเทศ ผัดต่อสักพัก ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี และพริกไทย*
ส่วนผสม
ข้าวสวย 3 ถ้วยตวง
หมูสับ 1 ขีด
ข้าวโพดต้ม 1/2 ถ้วยตวง
ถั่วฝักยาวซอย 1/2 ถ้วยตวง
ถั่วแดงต้ม 1/2 ถ้วยตวง
ฟักทองต้มสุกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
มะเขือเทศหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
แครอตหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1/2 ถ้วยตวง
กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย 2 ต้น
ผักชีซอย 2 ต้น
พริกไทยเล็กน้อย
วิธีปรุง
-ยกกระทะขึ้นตั้งไฟ พอร้อนได้ที่ให้ใส่น้ำมัน ใส่กระเทียมเจียวจนหอมได้ที่
-ใส่หมูสับ ถั่วฟักยาว แครอต ฟักทอง ถั่วแดง ข้าวโพด
-ใส่เครื่องปรุงคือซอสปรุงรส น้ำปลา น้ำตาล ผัดจนสุกได้ที่
-เทข้าวสวยที่เตรียมไว้ผัดรวมให้เข้ากัน ใส่มะเขือเทศ ผัดต่อสักพัก ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี และพริกไทย*
อาหารไม่ได้ทำให้อ้วนเสมอไป ของกินบางอย่างก็ทำให้เราเป็นเจ้าของหุ่นผอมเพรียวได้เหมือนกันอย่างเช่นเจ้า 3 อย่างนี้เป็นต้น
ซินนามอน
ที่เมืองไทยเรามีขายเยอะแยะ แต่สาวๆอาจจะไม่เคยลองลิ้มชิมรส เลยไม่รู้ว่าเจ้านี่ช่วยให้ผอมได้จริงๆ ซินนามอนมีสรรพคุณป้องกันการหลั่งอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สะสมไขมัน ทีนี้ถึงจะคุณกินข้าวมันไก่ก็ไม่้อ้วนอยู่ดี
มัสตาร์ด
รสชาติอาจจะไม่หอเจี๊ยะชวนชิมเท่าไร แต่มัสตาร์ดมีความดีตรงที่มันอุดมไปด้วยเครื่องเทศเผ็ดร้อนที่กระตุ้นระบบ เผาผลาญฝรั่งถึงต้องกินมัสตาร์ดกับเนื้อ จะได้ช่วยย่อยเร็ว ไม่ท้องอืด
ถั่วเหลือง
นี่คือของดีที่เราแาจจะมองข้าม แต่นับจากนี้ไปสาวๆคงจะรักถั่วเหลืองขึ้นอีกเยอะ ถ้าได้รู้ว่ามันอุดมไปด้วยสารโคลีนซึ่งมีหน้าที่ขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึม ไขมัน และยังช่วยทำให้ไขมันสะสมแตกตัวร่างกายเราจะได้กำจัดทิ้งไปได้ง่ายๆ
ซินนามอน
ที่เมืองไทยเรามีขายเยอะแยะ แต่สาวๆอาจจะไม่เคยลองลิ้มชิมรส เลยไม่รู้ว่าเจ้านี่ช่วยให้ผอมได้จริงๆ ซินนามอนมีสรรพคุณป้องกันการหลั่งอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สะสมไขมัน ทีนี้ถึงจะคุณกินข้าวมันไก่ก็ไม่้อ้วนอยู่ดี
มัสตาร์ด
รสชาติอาจจะไม่หอเจี๊ยะชวนชิมเท่าไร แต่มัสตาร์ดมีความดีตรงที่มันอุดมไปด้วยเครื่องเทศเผ็ดร้อนที่กระตุ้นระบบ เผาผลาญฝรั่งถึงต้องกินมัสตาร์ดกับเนื้อ จะได้ช่วยย่อยเร็ว ไม่ท้องอืด
ถั่วเหลือง
นี่คือของดีที่เราแาจจะมองข้าม แต่นับจากนี้ไปสาวๆคงจะรักถั่วเหลืองขึ้นอีกเยอะ ถ้าได้รู้ว่ามันอุดมไปด้วยสารโคลีนซึ่งมีหน้าที่ขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึม ไขมัน และยังช่วยทำให้ไขมันสะสมแตกตัวร่างกายเราจะได้กำจัดทิ้งไปได้ง่ายๆ
วิธีนี้คิดต้นโดย อาจารย์ทะคุมิ เทระคะโดะ หนุ่มญี่ปุ่้นผู้พิสมัยการออกกำลังกายโดยการใช้ความร้อนไปกระตุ้นระบบเผา พลาญให้ทำงานหนักกว่าปกติ จากนั้นร่างกายก็จะขับไขมันออกมาพร้อมกับเหงื่อ คนที่ทำจึงต้องพยายามให้ร่างกายพร้อมทั่วทั้งตัว ถึงแม้ว่าร่างกายท่อนบนจะไม่ได้แช่น้ำร้อนด้วย ก็ต้องใส่เสื้อแขนยาวเอาไว้ อย่าปล่อยให้่ท่อนบนเย็นไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้ผล
ขั้นตอน
1. เปิดน้ำร้อนอุณหภูมิ 45 องศาให้เต็มอ่าง ที่ต้องให้อุณหภูมิสูงไว้ก่อนเพราะเมื่อเราลงไปนอนแช่ อุณหภูมิของน้ำจะลดลงอย่างน้อยๆ ก็ 2 องศา
2. ถอดเสื้อผ้าท่อนล่างออก แต่ท่อนบนใส่เสื้อแขนยาวไว้แล้วลงไปนั่งให้บริเวณตั้งแต่สะดือลงไปอยู่ใต้ น้ำ หาผ้าขนหนูพันรอบคอเอาไว้เพื่อให้ตัวอุ่น
3. นั่งแช่ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น
ข้อห้าม
1. ห้ามใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงกว่านี้ เพื่อไม่ให้ผิวพอง
2. ไม่ควรแช่ตอนท้องว่้าง ไม่อย่างนั้นอาจหน้ามืดได้
ถ้าแช่น้ำร้อนช่วงล่างก่อนมีรอบเดือน 3 วันจะลดความอ้วนได้ดีที่สุดค่ะ
ขั้นตอน
1. เปิดน้ำร้อนอุณหภูมิ 45 องศาให้เต็มอ่าง ที่ต้องให้อุณหภูมิสูงไว้ก่อนเพราะเมื่อเราลงไปนอนแช่ อุณหภูมิของน้ำจะลดลงอย่างน้อยๆ ก็ 2 องศา
2. ถอดเสื้อผ้าท่อนล่างออก แต่ท่อนบนใส่เสื้อแขนยาวไว้แล้วลงไปนั่งให้บริเวณตั้งแต่สะดือลงไปอยู่ใต้ น้ำ หาผ้าขนหนูพันรอบคอเอาไว้เพื่อให้ตัวอุ่น
3. นั่งแช่ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น
ข้อห้าม
1. ห้ามใช้น้ำร้อนอุณหภูมิสูงกว่านี้ เพื่อไม่ให้ผิวพอง
2. ไม่ควรแช่ตอนท้องว่้าง ไม่อย่างนั้นอาจหน้ามืดได้
ถ้าแช่น้ำร้อนช่วงล่างก่อนมีรอบเดือน 3 วันจะลดความอ้วนได้ดีที่สุดค่ะ
อาหาร 5 ชนิดที่เราเอามาแนะนำกันคราวนี้ นักโภชนาการเขาการันตีมาแล้วว่า ช่วยให้อารมณ์ของนัำำกไดเอทแจ่มใส ใจสบาย สลายความเครียดแถมยังดีต่อสุขภาพมากๆ เลย
1.กล้วย เวลา่ไดเอท สิ่งที่ต้องทำคู่กันไปก็คือการออกกำลังกาย เคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มพลังก่อนออกกำลังกายก็คือ กินกล้วยสุกสัก 1 ผลรับรองว่าจะช่วยให้สาวสปอร์ตฟิตหุ่นได้ตลอด 1 ชั่วโมงแบบแรงไม่ตกเลยล่ะ นอกจากกล้วยจะเป็นอาหารทรงพลังแล้ว ยังอุดมด้วยเส้นใยอาหารและเกลือแร่ เป็นแหล่งวิตามิน เอ บี และ ซี วิตามินเอและซีจะทำให้หน้าตาสดชื่น ไม่อิดโรย แม้คุณจะออกแรงเสียเหงื่อมากแค่ไหนก็ตาม
2.มันฝรั่ง อ๊ะ อ๊...คำว่ามันฝรั่งในที่นี้ ไม่ได้ตัวการทำให้อ้วนนะเจ้าคะ แต่หมายถึงมันฝรั่งต้มบด หรืออบเท่านั้น มันฝรั่งจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงมาก อุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และโพแทสเซียม คนที่กำลังลดน้ำหนักมักต้องบอกลากันกลางคัน เพราะร่างกายสู้กับอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หมดเรี่ยวหมดแรง แต่มันฝรั่งจะทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องชิวๆ ไปเลย
3.แครอต นำแครอตปั่นสดๆ สภาพแก้วอารมณ์แจ่มใส รู้สึกมีชีวิตชีวาแล้วยังมีคุณค่าของวิตามินเอ และซี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายและยังทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วยแทนที่ จะดื่มไดเอทโค้กหรือน้ำเกลือแร่ที่วางขายกันตามซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งไม่มีคุณ ค่ากับร่างกาย เปลี่ยนมาทานน้ำแครอทดีกว่า
4.คอร์นเฟลค หรือข้าวโอ๊ตอบ คอร์นเฟลคหรือข้าวโอ๊ตอบแห้งนั้น ไม่ใช่อาหารสำหรับเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็ทานได้ และจัดว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานยามเช้าได้ดีมาก ยิ่งถ้าทานกับนมไขมันต่ำหรือโยเกิร์ต และตามด้วยผลไม้สดๆ ที่คุณชอบ ก็จะเป็นอาหารเช้าที่เพอร์เฟ็คไปเลย เพราะนอกจากจะให้พลังงานกับกล้ามเนื้อแล้ว ยังให้โปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองอีกด้วย ไดเอทคราวนี้คุณจะได้ไม่มีอาการสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออกอย่างคราวก่อนๆ ไงล่ะ
5.น้ำ สาวๆ ที่อยู่ในช่วงไดเอท ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ ไม่ต้องรอ ให้คอแห้งแล้วค่อยดืามหรอกควรดื่มเป็นระยะๆ ตลอดวันไปเลย ถ้าไม่สะดวกหรือกลัวลืมก็ควรวางแก้วน้ำและขวดน้ำไว้ประจำโต๊ะทำงานพักสายตา จากงานยุ่งๆ เมื่อไรจะได้คว้ามาดื่มได้ทันทีการดื่มน้ำไม่ใช่แค่ช่วยให้หายคอแห้งเท่า นั้น แต่ยังทำให้ผิวพรรณสดใสช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานสะดวกคล่องตัวหมดปัญหาท้อง ผูกท้องอืดที่ทำให้รำคาณอีกด้วย
1.กล้วย เวลา่ไดเอท สิ่งที่ต้องทำคู่กันไปก็คือการออกกำลังกาย เคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มพลังก่อนออกกำลังกายก็คือ กินกล้วยสุกสัก 1 ผลรับรองว่าจะช่วยให้สาวสปอร์ตฟิตหุ่นได้ตลอด 1 ชั่วโมงแบบแรงไม่ตกเลยล่ะ นอกจากกล้วยจะเป็นอาหารทรงพลังแล้ว ยังอุดมด้วยเส้นใยอาหารและเกลือแร่ เป็นแหล่งวิตามิน เอ บี และ ซี วิตามินเอและซีจะทำให้หน้าตาสดชื่น ไม่อิดโรย แม้คุณจะออกแรงเสียเหงื่อมากแค่ไหนก็ตาม
2.มันฝรั่ง อ๊ะ อ๊...คำว่ามันฝรั่งในที่นี้ ไม่ได้ตัวการทำให้อ้วนนะเจ้าคะ แต่หมายถึงมันฝรั่งต้มบด หรืออบเท่านั้น มันฝรั่งจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงมาก อุดมด้วยธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และโพแทสเซียม คนที่กำลังลดน้ำหนักมักต้องบอกลากันกลางคัน เพราะร่างกายสู้กับอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หมดเรี่ยวหมดแรง แต่มันฝรั่งจะทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องชิวๆ ไปเลย
3.แครอต นำแครอตปั่นสดๆ สภาพแก้วอารมณ์แจ่มใส รู้สึกมีชีวิตชีวาแล้วยังมีคุณค่าของวิตามินเอ และซี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายและยังทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วยแทนที่ จะดื่มไดเอทโค้กหรือน้ำเกลือแร่ที่วางขายกันตามซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งไม่มีคุณ ค่ากับร่างกาย เปลี่ยนมาทานน้ำแครอทดีกว่า
4.คอร์นเฟลค หรือข้าวโอ๊ตอบ คอร์นเฟลคหรือข้าวโอ๊ตอบแห้งนั้น ไม่ใช่อาหารสำหรับเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็ทานได้ และจัดว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานยามเช้าได้ดีมาก ยิ่งถ้าทานกับนมไขมันต่ำหรือโยเกิร์ต และตามด้วยผลไม้สดๆ ที่คุณชอบ ก็จะเป็นอาหารเช้าที่เพอร์เฟ็คไปเลย เพราะนอกจากจะให้พลังงานกับกล้ามเนื้อแล้ว ยังให้โปรตีนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองอีกด้วย ไดเอทคราวนี้คุณจะได้ไม่มีอาการสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออกอย่างคราวก่อนๆ ไงล่ะ
5.น้ำ สาวๆ ที่อยู่ในช่วงไดเอท ควรดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ ไม่ต้องรอ ให้คอแห้งแล้วค่อยดืามหรอกควรดื่มเป็นระยะๆ ตลอดวันไปเลย ถ้าไม่สะดวกหรือกลัวลืมก็ควรวางแก้วน้ำและขวดน้ำไว้ประจำโต๊ะทำงานพักสายตา จากงานยุ่งๆ เมื่อไรจะได้คว้ามาดื่มได้ทันทีการดื่มน้ำไม่ใช่แค่ช่วยให้หายคอแห้งเท่า นั้น แต่ยังทำให้ผิวพรรณสดใสช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานสะดวกคล่องตัวหมดปัญหาท้อง ผูกท้องอืดที่ทำให้รำคาณอีกด้วย
>เป็นความเข้าใจผิดที่ว่า หลังออกกำลังกายแล้วจะทำให้ยิ่งอยากอาหาร
>พบ ว่า คนออกกำลังกายสัปดาห์และ 3 วัน นาน 90 วัน มีระดับโปรตีนที่ยับยั้งความอยากอาหารสูงเป็นสองเท่าของคนไม่ออกกำลังกาย จึงกินน้อยกว่า
>คนที่อยากอาหารหลังออกกำลังกายมักเป็นเพราะต้องการให้รางวัลตนเอง หรือเชื่อว่ากินเพื่อทดแทนที่ร่างกายเผาผลาญไป
>ที่ จริงร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับอาหารหลังการออกกำลังกาย เว้นเสียแต่ว่าคุณออกกำลังหนักหนามากจริงๆ ฉะนั้นรอให้หิวค่อยกินจะดีกว่า
>พบ ว่า คนออกกำลังกายสัปดาห์และ 3 วัน นาน 90 วัน มีระดับโปรตีนที่ยับยั้งความอยากอาหารสูงเป็นสองเท่าของคนไม่ออกกำลังกาย จึงกินน้อยกว่า
>คนที่อยากอาหารหลังออกกำลังกายมักเป็นเพราะต้องการให้รางวัลตนเอง หรือเชื่อว่ากินเพื่อทดแทนที่ร่างกายเผาผลาญไป
>ที่ จริงร่างกายไม่จำเป็นต้องได้รับอาหารหลังการออกกำลังกาย เว้นเสียแต่ว่าคุณออกกำลังหนักหนามากจริงๆ ฉะนั้นรอให้หิวค่อยกินจะดีกว่า
วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกาย วิธีนี้เป็นวิธีที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากช่วยกระชับรูปร่างให้สมส่วนและยังช่วยให้ระบบอวัยวะภายในทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผู้ที่มีสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอก
จะลดน้ำหนักต้องลดไขมัน
คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า การอบความร้อนให้เหงื่อออกเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ดีและเห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่นั่นมิใช่วิธีที่ยั่งยืน เนื่องจากการทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงเป็นเพียงการลดน้ำหนักแบบชั่วคราว เท่านั้น เมื่อดื่มน้ำเข้าไปน้ำหนักก็จะกลับมาคงเดิม ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนที่ถูกต้องจะต้องเป็นการลดไขมันในร่าง กายลงให้ได้
ช้าหน่อยแต่ได้ผลยั่งยืน
สิ่งสำคัญของการออกกำลังกายหรือทำกายบริหารเพื่อลดน้ำหนักคือ ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มออกกำลังกายในช่วงแรก ร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาลร้อยละ 60 และไขมันร้อยละ 40 เพื่อที่นำไปสร้างพลังงานใหม่ ถ้าออกกำลังกายต่อเนื่องถึง 20 นาที ร่างกายจึงจะใช้น้ำตาลร้อยละ 50 และไขมันร้อยละ 50 ดังนั้นการออกกำลังกายนานมากขึ้นเรื่อยๆ ไขมันจะถูกดึงมาใช้มากขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องเก็บน้ำตาลสำหรับการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และการเผาผลาญไขมันก็จะเพิ่มมากขึ้น
หลายคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายอาจจะรู้สึกท้อใจในน้ำหนักตัวที่ยังไม่มีการ เปลี่ยนแปลง ในความเป็นจริงการออกกำลังกายในระยะแรกจะเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น และหากออกกำลังกายต่อไปสักระยะส่วนไขมันจึงจะลดลงตาม ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลง
ทำหนักไม่สำคัญเท่าทำสม่ำเสมอ
จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายระดับเบาถึงปานกลาง ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 9 เดือน ไขมันลดลงถึงประมาณ 7 กิโลกรัม หรือประมาณร้อยละ 40 ของไขมันเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายอย่างหนักครั้งละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าไขมันลดลงเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้นระยะเวลาการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และทำติดต่อกันนานพอสมควร (ประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) จึงมีผลต่อการลดไขมันมากกว่าความหนักเบาของการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ยังพบว่า การออกกำลังระดับปานกลางจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารนอร์อีปิเนฟรีน ซึ่งจะช่วยควบคุมความรู้สึกอยากอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย แต่หากออกกำลังกายอย่างหนักมากขึ้น ร่างกายจะอยากอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป ดังนั้นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักคือ หลังออกกำลังเสร็จให้ดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความอยากอาหารลงได้บ้าง
เทคนิคการออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน
* พยายามออกกำลังกายด้วยวิธีใดก็ได้วันละ 30 นาที
* เพิ่มการเคลื่อนไหวและออกแรงในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
* พยายามเดินให้มากขึ้น เพราะการเดินเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายที่ดี
* หลังจากเริ่มต้นออกกำลังด้วยการเดินแล้ว ให้ออกกำลังกายที่เป็นแบบแผนมากขึ้น เช่น รำกระบอง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือวิ่ง
* เลือกออกกำลังกายตามที่สนใจ
จะลดน้ำหนักต้องลดไขมัน
คนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า การอบความร้อนให้เหงื่อออกเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ดีและเห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่นั่นมิใช่วิธีที่ยั่งยืน เนื่องจากการทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงเป็นเพียงการลดน้ำหนักแบบชั่วคราว เท่านั้น เมื่อดื่มน้ำเข้าไปน้ำหนักก็จะกลับมาคงเดิม ดังนั้นการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนที่ถูกต้องจะต้องเป็นการลดไขมันในร่าง กายลงให้ได้
ช้าหน่อยแต่ได้ผลยั่งยืน
สิ่งสำคัญของการออกกำลังกายหรือทำกายบริหารเพื่อลดน้ำหนักคือ ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มออกกำลังกายในช่วงแรก ร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาลร้อยละ 60 และไขมันร้อยละ 40 เพื่อที่นำไปสร้างพลังงานใหม่ ถ้าออกกำลังกายต่อเนื่องถึง 20 นาที ร่างกายจึงจะใช้น้ำตาลร้อยละ 50 และไขมันร้อยละ 50 ดังนั้นการออกกำลังกายนานมากขึ้นเรื่อยๆ ไขมันจะถูกดึงมาใช้มากขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องเก็บน้ำตาลสำหรับการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง และการเผาผลาญไขมันก็จะเพิ่มมากขึ้น
หลายคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายอาจจะรู้สึกท้อใจในน้ำหนักตัวที่ยังไม่มีการ เปลี่ยนแปลง ในความเป็นจริงการออกกำลังกายในระยะแรกจะเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น และหากออกกำลังกายต่อไปสักระยะส่วนไขมันจึงจะลดลงตาม ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลง
ทำหนักไม่สำคัญเท่าทำสม่ำเสมอ
จากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายระดับเบาถึงปานกลาง ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 9 เดือน ไขมันลดลงถึงประมาณ 7 กิโลกรัม หรือประมาณร้อยละ 40 ของไขมันเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายอย่างหนักครั้งละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่าไขมันลดลงเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้นระยะเวลาการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ และทำติดต่อกันนานพอสมควร (ประมาณ 2 เดือนขึ้นไป) จึงมีผลต่อการลดไขมันมากกว่าความหนักเบาของการออกกำลังกาย
นอกจากนี้ยังพบว่า การออกกำลังระดับปานกลางจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารนอร์อีปิเนฟรีน ซึ่งจะช่วยควบคุมความรู้สึกอยากอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย แต่หากออกกำลังกายอย่างหนักมากขึ้น ร่างกายจะอยากอาหารเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป ดังนั้นเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักคือ หลังออกกำลังเสร็จให้ดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดความอยากอาหารลงได้บ้าง
เทคนิคการออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน
* พยายามออกกำลังกายด้วยวิธีใดก็ได้วันละ 30 นาที
* เพิ่มการเคลื่อนไหวและออกแรงในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
* พยายามเดินให้มากขึ้น เพราะการเดินเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายที่ดี
* หลังจากเริ่มต้นออกกำลังด้วยการเดินแล้ว ให้ออกกำลังกายที่เป็นแบบแผนมากขึ้น เช่น รำกระบอง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือวิ่ง
* เลือกออกกำลังกายตามที่สนใจ
การออกกำลังกายโดยมีเป้าหมายที่การลดไขมัน ลดน้ำหนักตัว จะทำให้ผลพลอยได้คือรูปร่างที่ฟิตขึ้น กล้ามเนื้อที่หย่อนเหลวจะตึงกระชับขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง ปอดและหัวใจแข็งแรงมากขึ้น ร่างกายมีความยือหยุ่นและแข็งแรงดีขึ้นด้วย ซึ่งนี่ยังไม่กล่าวถึงการทำงานของระบบต่างๆ ภายในร่างกาย ซึ่งได้ใช้ประโยชน์จากการออกกำลังกายด้วย เช่น สมองจะได้รับการหล่อเลี้ยงดียิ่งขึ้นจากการหมุนเวียนของเลือดและออกซิเจน
การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ทางกายภาพ จะเห็นได้เด่นชัดภายในเวลา 5-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
สุขภาพจะฟิตสมบูรณ์ภายใน 10-14 สัปดาห์
และความคล่องแคล่ว น้ำหนักที่เริ่มลดลง และความกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงจะเริ่มปรากฎตั้งแต่ใน 2 สัปดาห์แรกที่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
ในสัปดาห์แรกหรือ 10 วันแรก น้ำหนักอาจจะลดลง 1-2 กิโลกรัม
แต่ในระยะยาวน้ำหนักจะลดลงจนได้รูปร่างที่สมส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ คงความหุ่นดีอย่างถาวรโดยไม่กลับมาอ้วนอีก หากมีการออกกำลังกายตลอดไป ถึงแม้จะลดปริมาณความถี่ลงจาก 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ทางกายภาพ จะเห็นได้เด่นชัดภายในเวลา 5-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
สุขภาพจะฟิตสมบูรณ์ภายใน 10-14 สัปดาห์
และความคล่องแคล่ว น้ำหนักที่เริ่มลดลง และความกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงจะเริ่มปรากฎตั้งแต่ใน 2 สัปดาห์แรกที่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
ในสัปดาห์แรกหรือ 10 วันแรก น้ำหนักอาจจะลดลง 1-2 กิโลกรัม
แต่ในระยะยาวน้ำหนักจะลดลงจนได้รูปร่างที่สมส่วนอย่างสมบูรณ์แบบ คงความหุ่นดีอย่างถาวรโดยไม่กลับมาอ้วนอีก หากมีการออกกำลังกายตลอดไป ถึงแม้จะลดปริมาณความถี่ลงจาก 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ตาม
* อย่ากินขนมหรืออาหารก่อนไปออกกำลังกาย ถ้าคุณมีตารางออกกำลังกายอยู่ที่เวลา 6 โมงครึ่ง คุณควรกินอาหารตั้งแต่ 5 โมง หรือ 4 โมงครึ่ง
* ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักวันละ 2-3 ชั่วโมงต่อเนื่องทุกวัน เพียงเพราะหวังจะลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนใน 3-4 วัน
* ขณะออกกำลังกายไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมเพราะอาจเป็นอันได้ และมันจะทำให้การหายใจเป็นไปโดยไม่สะดวกนัก
* การดื่มกาแฟก่อนออกกำลังกายจะมีผลให้เหนื่อยหอบง่ายเพราะหัวใจถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของสารกาเฟอีน
* ถ้าเมื่อคืนอดนอน วันรุ่งขึ้นก็ควรงดออกกำลังกาย
* จะต้องบริหารยีดเส้นยืดสายเพื่ออุ่นเครื่องก่อนออกกำลังกายเสมอ อย่างน้อย 5-10 นาที
* ยืนหรือวิ่งตัวง่าย และลดไขมันได้น้อยกว่าท่าตัวตรงหลายเท่า
* ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหนักวันละ 2-3 ชั่วโมงต่อเนื่องทุกวัน เพียงเพราะหวังจะลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนใน 3-4 วัน
* ขณะออกกำลังกายไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมเพราะอาจเป็นอันได้ และมันจะทำให้การหายใจเป็นไปโดยไม่สะดวกนัก
* การดื่มกาแฟก่อนออกกำลังกายจะมีผลให้เหนื่อยหอบง่ายเพราะหัวใจถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของสารกาเฟอีน
* ถ้าเมื่อคืนอดนอน วันรุ่งขึ้นก็ควรงดออกกำลังกาย
* จะต้องบริหารยีดเส้นยืดสายเพื่ออุ่นเครื่องก่อนออกกำลังกายเสมอ อย่างน้อย 5-10 นาที
* ยืนหรือวิ่งตัวง่าย และลดไขมันได้น้อยกว่าท่าตัวตรงหลายเท่า
ยังมีผู้คนจำนวนอีกไม่น้อยที่คิดว่า การยืดเส้นยืดสายนั้นก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างสิ้งเชิง
จริงอยู่ที่การจะลดน้ำหนักลงได้ ต้องอาศัยการที่คนเรารู้จักเคลื่อนไหวร่างกายไม่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แต่การเคลื่อนไหวนั้นต้องเป็นไปโดยที่ร่างกายได้ออกแรงจนหัวใจสูบฉีดเร็ว ขึ้น
แต่สำหรับการยืดเส้นยืดสาย (Stretching) นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการอุ่นร่างกาย และช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเท่านั้น
ก่อนและหลังการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก การยืดเส้นยืดสายก็เป็นส่วนหนึ่งที่มิพึงละเลย
แต่ถ้าพูดถึงคุณประโยชน์โดยเฉพาะของการยืดเส้นยืดสายก็มีดังนี้
* ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเมื่อยตึงหลังการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
* ลดและป้องกันการเกิดติดขัดหรือยึดของกล้ามเนื้อเมื่อถูกใช้หักโหมจนอาจเกิดบาดเจ็บได้
* ช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเพราะกล้ามเนื้ออ่อนตัวลงจากการยืดเส้นยืดสาย
* ช่วยให้ร่างกายเรามีกำลังมากพอจะกระโดดเชือกหรือก้มตัวยกของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อมีพละกำลังมากขึ้น
จริงอยู่ที่การจะลดน้ำหนักลงได้ ต้องอาศัยการที่คนเรารู้จักเคลื่อนไหวร่างกายไม่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แต่การเคลื่อนไหวนั้นต้องเป็นไปโดยที่ร่างกายได้ออกแรงจนหัวใจสูบฉีดเร็ว ขึ้น
แต่สำหรับการยืดเส้นยืดสาย (Stretching) นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการอุ่นร่างกาย และช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเท่านั้น
ก่อนและหลังการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก การยืดเส้นยืดสายก็เป็นส่วนหนึ่งที่มิพึงละเลย
แต่ถ้าพูดถึงคุณประโยชน์โดยเฉพาะของการยืดเส้นยืดสายก็มีดังนี้
* ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเมื่อยตึงหลังการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
* ลดและป้องกันการเกิดติดขัดหรือยึดของกล้ามเนื้อเมื่อถูกใช้หักโหมจนอาจเกิดบาดเจ็บได้
* ช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเพราะกล้ามเนื้ออ่อนตัวลงจากการยืดเส้นยืดสาย
* ช่วยให้ร่างกายเรามีกำลังมากพอจะกระโดดเชือกหรือก้มตัวยกของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อมีพละกำลังมากขึ้น
ยังมีผู้คนจำนวนอีกไม่น้อยที่คิดว่า การยืดเส้นยืดสายนั้นก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างสิ้งเชิง
จริงอยู่ที่การจะลดน้ำหนักลงได้ ต้องอาศัยการที่คนเรารู้จักเคลื่อนไหวร่างกายไม่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แต่การเคลื่อนไหวนั้นต้องเป็นไปโดยที่ร่างกายได้ออกแรงจนหัวใจสูบฉีดเร็ว ขึ้น
แต่สำหรับการยืดเส้นยืดสาย (Stretching) นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการอุ่นร่างกาย และช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเท่านั้น
ก่อนและหลังการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก การยืดเส้นยืดสายก็เป็นส่วนหนึ่งที่มิพึงละเลย
แต่ถ้าพูดถึงคุณประโยชน์โดยเฉพาะของการยืดเส้นยืดสายก็มีดังนี้
* ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเมื่อยตึงหลังการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
* ลดและป้องกันการเกิดติดขัดหรือยึดของกล้ามเนื้อเมื่อถูกใช้หักโหมจนอาจเกิดบาดเจ็บได้
* ช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเพราะกล้ามเนื้ออ่อนตัวลงจากการยืดเส้นยืดสาย
* ช่วยให้ร่างกายเรามีกำลังมากพอจะกระโดดเชือกหรือก้มตัวยกของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อมีพละกำลังมากขึ้น
จริงอยู่ที่การจะลดน้ำหนักลงได้ ต้องอาศัยการที่คนเรารู้จักเคลื่อนไหวร่างกายไม่อยู่นิ่งๆ เฉยๆ แต่การเคลื่อนไหวนั้นต้องเป็นไปโดยที่ร่างกายได้ออกแรงจนหัวใจสูบฉีดเร็ว ขึ้น
แต่สำหรับการยืดเส้นยืดสาย (Stretching) นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการอุ่นร่างกาย และช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อแข็งแรงเท่านั้น
ก่อนและหลังการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก การยืดเส้นยืดสายก็เป็นส่วนหนึ่งที่มิพึงละเลย
แต่ถ้าพูดถึงคุณประโยชน์โดยเฉพาะของการยืดเส้นยืดสายก็มีดังนี้
* ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเมื่อยตึงหลังการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย
* ลดและป้องกันการเกิดติดขัดหรือยึดของกล้ามเนื้อเมื่อถูกใช้หักโหมจนอาจเกิดบาดเจ็บได้
* ช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเพราะกล้ามเนื้ออ่อนตัวลงจากการยืดเส้นยืดสาย
* ช่วยให้ร่างกายเรามีกำลังมากพอจะกระโดดเชือกหรือก้มตัวยกของ หรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้เนื่องจากกล้ามเนื้อมีพละกำลังมากขึ้น
ข้อควรปฎิบัติเพื่อให้การออกกำลังกายเผาผลาญไขมันเป็นไปอย่างได้ผลดี และปลอดภัยจากการบาดเจ็บทั้งปวง
* เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสม แต่งกายสบายและมีความคล่องตัว สวมถุงเท้าและรองเท้ากีฬาเพื่อกันการกระแทก ถ้าจะว่ายน้ำก็ต้องสวมชุดว่ายน้ำ และใส่หมวกคลุมผมให้เรียบร้อย
* ดื่มน้ำสัก 20 นาทีก่อนออกกำลังกาย
* บริหารร่างกายสัก 10 นาทีเพื่ออุ่นร่างกายก่อนเสมอ
* เล่นกีฬาให้ถูกวิธี ออกกำลังกายให้ถูกต้องตามขั้นตอนของการออกกำลังกายประเภทนั้นๆ
* มีน้ำสะอาดเตรียมไว้จิบด้วย ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
* ถ้าเหนื่อยหรือบาดเจ็บต้องหยุดเล่นทันที
* เพิ่มความเร็วหรือความหนักหน่วงทีละเล็กละน้อย ให้โอกาสร่างกายได้ปรับตัว อย่าหักโหมออกแรงหนักๆ จนร่างกายปรับตัวไม่ทัน
* เคลื่อนไหวให้ถูกต้องตามขั้นตอน เพื่อป้องกันการเคล็ดหรืออันตรายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไหล่หลุด เป็นต้น
* เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสม แต่งกายสบายและมีความคล่องตัว สวมถุงเท้าและรองเท้ากีฬาเพื่อกันการกระแทก ถ้าจะว่ายน้ำก็ต้องสวมชุดว่ายน้ำ และใส่หมวกคลุมผมให้เรียบร้อย
* ดื่มน้ำสัก 20 นาทีก่อนออกกำลังกาย
* บริหารร่างกายสัก 10 นาทีเพื่ออุ่นร่างกายก่อนเสมอ
* เล่นกีฬาให้ถูกวิธี ออกกำลังกายให้ถูกต้องตามขั้นตอนของการออกกำลังกายประเภทนั้นๆ
* มีน้ำสะอาดเตรียมไว้จิบด้วย ไม่ปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ
* ถ้าเหนื่อยหรือบาดเจ็บต้องหยุดเล่นทันที
* เพิ่มความเร็วหรือความหนักหน่วงทีละเล็กละน้อย ให้โอกาสร่างกายได้ปรับตัว อย่าหักโหมออกแรงหนักๆ จนร่างกายปรับตัวไม่ทัน
* เคลื่อนไหวให้ถูกต้องตามขั้นตอน เพื่อป้องกันการเคล็ดหรืออันตรายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ไหล่หลุด เป็นต้น
Body Work ฉบับนี้พิเศษสุด ๆ ค่ะ เอาใจสาว ๆ ที่กำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์โดยเฉพาะ
ด้วย สูตรลับ “ฟิตหุ่นสวยเพรียว” แบบเร่งด่วนภายใน 14 วัน เรียก ว่ารู้ผลทันตาทีเดียว ว่าที่เจ้าสาวท่านใดมีเวลาเตรียมตัวเพียงน้อยนิด กังฟูขอรับรองด้วยเกียรติเลยค่ะว่า
ถ้าทำเป็นประจำทุกวันล่ะก็ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 14 วัน หุ่นของคุณจะต้องเพรียวลมกลับมาเจิดจรัสอีกครั้งแน่นอน
ท่าที่ 1
ใช้ ผ้ายืด ๆ สวมที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นค่อย ๆ กางขาออกจากกันประมาณ 1 ฟุต (ดังรูป) ตัวและหลังต้องตรง นะคะ ทั้งนี้เพื่อให้รูปร่างของคุณสมส่วน ขั้นตอนต่อไปให้สไลซ์ตัวไปทางด้านข้าง
ทั้งซ้ายและขวาอย่างน้อย 10 ครั้ง ถ้าจะให้เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ การก้าวชิด
นั่น เองค่ะ ผล ที่ได้ก็คือ เมื่อคุณก้าวขาออก ผ้ายืดก็จะยืดตามขาที่คุณก้าว ซึ่งการทำในลักษณะนี้ จะเป็นการเกร็งกล้ามในช่วงต้นขาและข้อเท้าได้ดี ช่วยให้ขาของคุณมีกล้ามเนื้อที่กระชับแถมเนื้อยังไม่เหลวอีกด้วยค่ะ”
ท่าที่ 2
ยืน ตรงแล้วกางขาออกประมาณ 1 ฟุต ตามด้วยการเขย่งปลายเท้า มือทั้งสองแนบลำตัวแล้วย่อเข่าลงตั้งจาก 90 องศาไปทางด้านข้าง โดยที่ปลายเท้ายังคงเขย่งอยู่ ส่วนมือทั้งซ้ายและขวาปล่อยลงบริเวณด้านหน้า
เมื่อ เข้าใจท่าเบื้องต้นกันแล้วก็เริ่มย่อยุบได้เลยค่ะ ทำอย่างน้อย 10 ครั้ง การบริหารร่างกายท่านี้ค่อนข้างยากอยู่สักหน่อย เพราะคุณจะเมื่อยช่วงต้นขาและบริเวณปลายเท้า
เอามากๆ แต่ยังไงก็ต้องอดทนทำต่อไปเพื่อสุขภาพ
และอะไรดี ๆ หลายอย่างที่กำลังจะตามคุณมายังไงล่ะคะ
ท่าที่ 3
นอนราบลงกับพื้นตั้งเข่าขึ้นประมาณ
45 องศา เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะให้ตรง จากนั้นนำเชือกที่คล้องกับขาเตียง แล้วใช้มือ ทั้งสองข้างดึงลำตัวขึ้น
ท่านี้บอกได้ค่ะว่าไม่ยากเลย แต่ที่สำคัญ ต้องมั่นใจกับขาเตียงหรือขาอะไรก็ตาม
แต่ที่คุณเลือกมาใช้ ต้องแน่ใจที่สุดค่ะว่า แข็งแรงมาก ๆเพราะไม่เช่นนั้นทั้งเตียง และตัวคุณจะรวมตัวผนวกเข้าด้วยกัน
ล่ะก็ แย่แน่ ๆ จะกลายเป็นเจ็บตัวเสียเปล่า ๆ
ท่านี้ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนไม่ให้หย่อนยาน รวมถึงสะโพกและกล้ามเนื้อต้นขาได้ดี ลองทำสัก
ประมาณ 10 – 15 ครั้งค่ะ
ท่าที่ 4
เป็น ท่าวิดพื้นธรรมดา ๆ นี่เองค่ะ เรียกว่าเป็นท่ากายบริหารมาตรฐานที่ใคร ๆ ก็สามารถทำกันได้อยู่แล้วโดยการคว่ำตัวลง จากนั้นใช้มือและแขนวางลงกับพื้น ตั้งเท้าขึ้น ส่วนนิ้วเท้า
กดลงบนพื้น
แล้วเริ่มวิดพื้น งอแขนลงช้า ๆ ระวังอย่าให้ก้นโด่งนะคะ ไม่งั้นอาจกลายเป็นตัวตลกของใคร ๆ ได้ ท่านี้เรียกว่าช่วยบริหารร่างกายได้ทุกส่วนเลยค่ะ
ท่าที่ 5
หากคุณมีดัมเบลล์อยู่ในมือล่ะก็ อย่าวางไว้เฉย ๆ นะคะ นำมาออกกำลังกายกันดีกว่า โดยการยืนตรงกางขาออกเล็กน้อย มือทั้งสองถือดัมเบลล์
ท่าที่ 1 ยกเข้าหาตัวโดยถือดัมเบลล์และหันข้อมือเข้าหาตัว
แล้วยกขึ้นให้อยู่ในระดับหน้าอก ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา
ท่าที่ 2 ถือดัมเบลล์คว่ำข้อมือลง ยกแขนออกทางด้านข้าง
แนบลำตัว ทั้งซ้ายและขวาสลับกัน ทำอย่างน้อยท่าละประมาณ
10 ครั้งช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและไหล่ได้ดีค่ะ
การบริหารท่านี้จะต้องมี ดัมเบลล์ นะครับ
ท่าที่ 6
นั่งลงบนโต๊ะไม้หรือ แท่นอะไรก็ได้ค่ะ ที่คุณสามารถ ใช้ลำตัวพิงได้โดยที่พื้นโต๊ะ
ไม่สูงเกินไป แล้วยืนหัน หลังใช้มือและแขนทั้งสอง วางค้ำบนโต๊ะ แขนและขา
ต้องเหยียดตรง
การบริหารท่านี้จะต้องมี โต๊ะหรือแท่นที่แข็งแรงนะครับ
จากนั้นย่อลำตัวลง แขนและขาตั้งฉากกับพื้น ทำอย่างน้อย 10 – 15 ครั้ง สำหรับท่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงขึ้นค่ะ
ขอขอบคุณ
นิตยสาร Hair & Beauty Studio
ด้วย สูตรลับ “ฟิตหุ่นสวยเพรียว” แบบเร่งด่วนภายใน 14 วัน เรียก ว่ารู้ผลทันตาทีเดียว ว่าที่เจ้าสาวท่านใดมีเวลาเตรียมตัวเพียงน้อยนิด กังฟูขอรับรองด้วยเกียรติเลยค่ะว่า
ถ้าทำเป็นประจำทุกวันล่ะก็ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ภายในระยะเวลา 14 วัน หุ่นของคุณจะต้องเพรียวลมกลับมาเจิดจรัสอีกครั้งแน่นอน
ท่าที่ 1
ใช้ ผ้ายืด ๆ สวมที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง จากนั้นค่อย ๆ กางขาออกจากกันประมาณ 1 ฟุต (ดังรูป) ตัวและหลังต้องตรง นะคะ ทั้งนี้เพื่อให้รูปร่างของคุณสมส่วน ขั้นตอนต่อไปให้สไลซ์ตัวไปทางด้านข้าง
ทั้งซ้ายและขวาอย่างน้อย 10 ครั้ง ถ้าจะให้เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ การก้าวชิด
นั่น เองค่ะ ผล ที่ได้ก็คือ เมื่อคุณก้าวขาออก ผ้ายืดก็จะยืดตามขาที่คุณก้าว ซึ่งการทำในลักษณะนี้ จะเป็นการเกร็งกล้ามในช่วงต้นขาและข้อเท้าได้ดี ช่วยให้ขาของคุณมีกล้ามเนื้อที่กระชับแถมเนื้อยังไม่เหลวอีกด้วยค่ะ”
ท่าที่ 2
ยืน ตรงแล้วกางขาออกประมาณ 1 ฟุต ตามด้วยการเขย่งปลายเท้า มือทั้งสองแนบลำตัวแล้วย่อเข่าลงตั้งจาก 90 องศาไปทางด้านข้าง โดยที่ปลายเท้ายังคงเขย่งอยู่ ส่วนมือทั้งซ้ายและขวาปล่อยลงบริเวณด้านหน้า
เมื่อ เข้าใจท่าเบื้องต้นกันแล้วก็เริ่มย่อยุบได้เลยค่ะ ทำอย่างน้อย 10 ครั้ง การบริหารร่างกายท่านี้ค่อนข้างยากอยู่สักหน่อย เพราะคุณจะเมื่อยช่วงต้นขาและบริเวณปลายเท้า
เอามากๆ แต่ยังไงก็ต้องอดทนทำต่อไปเพื่อสุขภาพ
และอะไรดี ๆ หลายอย่างที่กำลังจะตามคุณมายังไงล่ะคะ
ท่าที่ 3
นอนราบลงกับพื้นตั้งเข่าขึ้นประมาณ
45 องศา เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะให้ตรง จากนั้นนำเชือกที่คล้องกับขาเตียง แล้วใช้มือ ทั้งสองข้างดึงลำตัวขึ้น
ท่านี้บอกได้ค่ะว่าไม่ยากเลย แต่ที่สำคัญ ต้องมั่นใจกับขาเตียงหรือขาอะไรก็ตาม
แต่ที่คุณเลือกมาใช้ ต้องแน่ใจที่สุดค่ะว่า แข็งแรงมาก ๆเพราะไม่เช่นนั้นทั้งเตียง และตัวคุณจะรวมตัวผนวกเข้าด้วยกัน
ล่ะก็ แย่แน่ ๆ จะกลายเป็นเจ็บตัวเสียเปล่า ๆ
ท่านี้ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนไม่ให้หย่อนยาน รวมถึงสะโพกและกล้ามเนื้อต้นขาได้ดี ลองทำสัก
ประมาณ 10 – 15 ครั้งค่ะ
ท่าที่ 4
เป็น ท่าวิดพื้นธรรมดา ๆ นี่เองค่ะ เรียกว่าเป็นท่ากายบริหารมาตรฐานที่ใคร ๆ ก็สามารถทำกันได้อยู่แล้วโดยการคว่ำตัวลง จากนั้นใช้มือและแขนวางลงกับพื้น ตั้งเท้าขึ้น ส่วนนิ้วเท้า
กดลงบนพื้น
แล้วเริ่มวิดพื้น งอแขนลงช้า ๆ ระวังอย่าให้ก้นโด่งนะคะ ไม่งั้นอาจกลายเป็นตัวตลกของใคร ๆ ได้ ท่านี้เรียกว่าช่วยบริหารร่างกายได้ทุกส่วนเลยค่ะ
ท่าที่ 5
หากคุณมีดัมเบลล์อยู่ในมือล่ะก็ อย่าวางไว้เฉย ๆ นะคะ นำมาออกกำลังกายกันดีกว่า โดยการยืนตรงกางขาออกเล็กน้อย มือทั้งสองถือดัมเบลล์
ท่าที่ 1 ยกเข้าหาตัวโดยถือดัมเบลล์และหันข้อมือเข้าหาตัว
แล้วยกขึ้นให้อยู่ในระดับหน้าอก ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา
ท่าที่ 2 ถือดัมเบลล์คว่ำข้อมือลง ยกแขนออกทางด้านข้าง
แนบลำตัว ทั้งซ้ายและขวาสลับกัน ทำอย่างน้อยท่าละประมาณ
10 ครั้งช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและไหล่ได้ดีค่ะ
การบริหารท่านี้จะต้องมี ดัมเบลล์ นะครับ
ท่าที่ 6
นั่งลงบนโต๊ะไม้หรือ แท่นอะไรก็ได้ค่ะ ที่คุณสามารถ ใช้ลำตัวพิงได้โดยที่พื้นโต๊ะ
ไม่สูงเกินไป แล้วยืนหัน หลังใช้มือและแขนทั้งสอง วางค้ำบนโต๊ะ แขนและขา
ต้องเหยียดตรง
การบริหารท่านี้จะต้องมี โต๊ะหรือแท่นที่แข็งแรงนะครับ
จากนั้นย่อลำตัวลง แขนและขาตั้งฉากกับพื้น ทำอย่างน้อย 10 – 15 ครั้ง สำหรับท่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรงขึ้นค่ะ
ขอขอบคุณ
นิตยสาร Hair & Beauty Studio
ขึ้น ชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติสามารถลดความอ้วนได้นั้น กำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ทั่วไปที่หันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่าง
จะถือ เป็นค่านิยมหรือไม่ผู้เขียนไม่สามารถชี้ชัดได้ที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน มีเรืองร่างอันผอมเพรียว จนบางคนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก (ไม่รู้ว่าสวยตรงไหน)
และที่ได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้คือการลดความอ้วนโดยวิธีกินยา ซึ่งถือว่าอันตราย
ดัง นั้นหลายคนจึงหาทางออกโดยมองหาสมุนไพรตามธรรมชาติมาใช้ในการลดความอ้วน สารสกัดจากพริกจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นำมาใช้ ดังนั้นจึงเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่าสารสกัดจากพริก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวอ้างว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร จากการศึกษาในคนพบว่า อาหารรสเผ็ดที่มี Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่
นอกจากนี้ยังพบอีกว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ดไม่มี ผลเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรืออุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ และทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนอีกด้วย
ดังนั้นผู้บริโภคควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจหรือบริโภค
จะถือ เป็นค่านิยมหรือไม่ผู้เขียนไม่สามารถชี้ชัดได้ที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน มีเรืองร่างอันผอมเพรียว จนบางคนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก (ไม่รู้ว่าสวยตรงไหน)
และที่ได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้คือการลดความอ้วนโดยวิธีกินยา ซึ่งถือว่าอันตราย
ดัง นั้นหลายคนจึงหาทางออกโดยมองหาสมุนไพรตามธรรมชาติมาใช้ในการลดความอ้วน สารสกัดจากพริกจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นำมาใช้ ดังนั้นจึงเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่าสารสกัดจากพริก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวอ้างว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร จากการศึกษาในคนพบว่า อาหารรสเผ็ดที่มี Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่
นอกจากนี้ยังพบอีกว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ดไม่มี ผลเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรืออุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ และทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนอีกด้วย
ดังนั้นผู้บริโภคควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจหรือบริโภค
สูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพฯ
**ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว**
วันแรก
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือโยเกริต์ มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : สลัดผัก
วันที่สอง
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : โยเกริต์
วันที่สาม
มื้อเช้า : โยเกริต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่สี่
มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : โยเกริต์
วันที่ห้า
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : สลัดผัก
วันที่หก
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา มื้อเย็น : นมสด
วันที่เจ็ด
มื้อ เช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่แปด
มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น : ให้รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันแร
**ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว**
วันแรก
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือโยเกริต์ มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : สลัดผัก
วันที่สอง
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : โยเกริต์
วันที่สาม
มื้อเช้า : โยเกริต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่สี่
มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : โยเกริต์
วันที่ห้า
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : สลัดผัก
วันที่หก
มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา มื้อเย็น : นมสด
วันที่เจ็ด
มื้อ เช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น
วันที่แปด
มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น : ให้รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันแร
* กินข้าวต้ม 1 ถ้วยทั้งมื้อเช้าและกลางวันตลอด 7 วัน
* กินแกงจืดฟักใส่กุ้งแห้ง 1 ถ้วย สลับกับกินต้มจับฉ่ายในมื้อเย็นตลอด 7 วัน
สูตรนี้น่าจะทำได้ง่ายนะคะ เพราะได้ทานข้าวกันตั้ง 2 มื้อ แต่ก็ต้องระวังหน่อยนะคะ อย่าทานข้าวเยอะเกินไป
- หมายเหตุ มื้อเช้าทานข้าวต้ม ในสูตรไม่ได้บอกว่าทานกับอะไร เข้าใจว่าน่าจะทานข้าวต้มเปล่าๆ แต่ก็น่าจะหากับข้าวเบาๆ มาทานด้วยได้นะคะ เช่น ปลากรอบ ไข่ต้ม ยำกุ้งแห้ง ยำผักดอง เป็นต้นค่ะ เลือกกับที่ไม่มีไขมัน
* กินแกงจืดฟักใส่กุ้งแห้ง 1 ถ้วย สลับกับกินต้มจับฉ่ายในมื้อเย็นตลอด 7 วัน
สูตรนี้น่าจะทำได้ง่ายนะคะ เพราะได้ทานข้าวกันตั้ง 2 มื้อ แต่ก็ต้องระวังหน่อยนะคะ อย่าทานข้าวเยอะเกินไป
- หมายเหตุ มื้อเช้าทานข้าวต้ม ในสูตรไม่ได้บอกว่าทานกับอะไร เข้าใจว่าน่าจะทานข้าวต้มเปล่าๆ แต่ก็น่าจะหากับข้าวเบาๆ มาทานด้วยได้นะคะ เช่น ปลากรอบ ไข่ต้ม ยำกุ้งแห้ง ยำผักดอง เป็นต้นค่ะ เลือกกับที่ไม่มีไขมัน
* กินแอปเปิ้ลเขียว 1 ผลเป็นมื้อเช้าตลอดทั้ง 7 วัน ถ้าไม่ชอบก้อาจกินแอปเปิ้ลเขียวให้กินส้มหรือ ฝรั่งหรือ มะละกอหรือสับปะรดแทนได้ แต่ห้ามกินผลไม้หวานจัดเช่น เงาะ ละมุด มังคุด น้อยหน่า องุ่น
* มื้อกลางวัน กินเกาเหลาใส่ผักเยอะๆ สลับกับส้มตำและปลาดุกย่างตลอด 7 วัน อาจเปลี่ยนปลาย่างเป็นปลานึ่งตัวเล็กๆ 1 ตัวกินกับผักนึ่งก็ได้
* มื้อเย็น กินซุปผักหรือแกงจืดสลับกับสลัดผักใส่ไข่ต้มหั่นเป็นแว่นๆ สลับกับแฮมต้ม 2 แผ่นทั้ง 7 วัน
* มื้อกลางวัน กินเกาเหลาใส่ผักเยอะๆ สลับกับส้มตำและปลาดุกย่างตลอด 7 วัน อาจเปลี่ยนปลาย่างเป็นปลานึ่งตัวเล็กๆ 1 ตัวกินกับผักนึ่งก็ได้
* มื้อเย็น กินซุปผักหรือแกงจืดสลับกับสลัดผักใส่ไข่ต้มหั่นเป็นแว่นๆ สลับกับแฮมต้ม 2 แผ่นทั้ง 7 วัน
บางคน อาจคิดว่าพยายามรับประทานน้อยอยู่แล้ว แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด แถมบางครั้งยังเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นเพราะมีหลายคนที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการรับประทาน ที่ถูกต้อง และยังมองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง แต่มีความสำคัญ
สมาคมด้านการลดน้ำหนักของสหรัฐอเมริกา มีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำดังต่อไปนี้ ระมัดระวังปริมาณการกิน เช่นแทนที่เราจะรับประทานจากถุงหรือเหยือก เราก็นำอาหารนั้นใส่ภาชนะแทน เพื่อจะได้ทราบปริมาณและเตือนตัวเราเอง
เมื่อลงมือรับประทานอาหาร ให้รับประทานชนิดที่มีแคลอรีต่ำก่อน เริ่มด้วยสลัด ผักและน้ำซุป จากนั้นจึงรับประทานพวกเนื้อและแป้งเหนียวเป็นลำดับสุดท้าย วิธีนี้จะทำให้เราอิ่มและพอใจโดยไม่ต้องรับประทานในปริมาณมาก
รับประทานผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ เพราะน้ำผลไม้จะให้แคลอรีสูงกว่า 4.อย่ารับประทานจนอิ่มเต็มที่ แต่ให้ถือสุภาษิตคือกินอิ่มแค่ 8 ใน 10 ประการที่ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่แคลอรีสูง ไม่ว่าจะเป็นโซดา ชาหวาน น้ำมะนาวที่ใส่น้ำตาล แต่ที่ดีที่สุดคือการดื่มน้ำเปล่า
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมเตือนตัวเองว่าต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายช้าลง 3% หรือเผาผลาญแคลอรีได้น้อยกว่าเดิม 45 แคลอรีต่อวัน กุญแจสำคัญของการดื่มน้ำไม่เกี่ยวกับว่าจะดื่มมากแค่ไหน แต่ขึ้นกับว่าเราดื่มบ่อยแค่ไหน หากจิบบ่อยๆ จะได้ผลดีต่อการดื่มรวดเดียวทีละมากๆ
อ้วน.com ขอขอบคุณ - มติชน
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
สมาคมด้านการลดน้ำหนักของสหรัฐอเมริกา มีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำดังต่อไปนี้ ระมัดระวังปริมาณการกิน เช่นแทนที่เราจะรับประทานจากถุงหรือเหยือก เราก็นำอาหารนั้นใส่ภาชนะแทน เพื่อจะได้ทราบปริมาณและเตือนตัวเราเอง
เมื่อลงมือรับประทานอาหาร ให้รับประทานชนิดที่มีแคลอรีต่ำก่อน เริ่มด้วยสลัด ผักและน้ำซุป จากนั้นจึงรับประทานพวกเนื้อและแป้งเหนียวเป็นลำดับสุดท้าย วิธีนี้จะทำให้เราอิ่มและพอใจโดยไม่ต้องรับประทานในปริมาณมาก
รับประทานผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ เพราะน้ำผลไม้จะให้แคลอรีสูงกว่า 4.อย่ารับประทานจนอิ่มเต็มที่ แต่ให้ถือสุภาษิตคือกินอิ่มแค่ 8 ใน 10 ประการที่ ลดการดื่มเครื่องดื่มที่แคลอรีสูง ไม่ว่าจะเป็นโซดา ชาหวาน น้ำมะนาวที่ใส่น้ำตาล แต่ที่ดีที่สุดคือการดื่มน้ำเปล่า
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมเตือนตัวเองว่าต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายช้าลง 3% หรือเผาผลาญแคลอรีได้น้อยกว่าเดิม 45 แคลอรีต่อวัน กุญแจสำคัญของการดื่มน้ำไม่เกี่ยวกับว่าจะดื่มมากแค่ไหน แต่ขึ้นกับว่าเราดื่มบ่อยแค่ไหน หากจิบบ่อยๆ จะได้ผลดีต่อการดื่มรวดเดียวทีละมากๆ
อ้วน.com ขอขอบคุณ - มติชน
http://www.xn--q3c1ar6i.com/forum/
การกระตุ้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อาจเป็นวิธีการใหม่ล่าสุดในการลดน้ำหนัก หลังผลวิจัยเผยให้เห็นว่า คนไข้ที่ฝังอิเล็กโทรดไว้ระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะ สามารถรีดแคลอรีที่บริโภคเข้าไปได้กว่า 30% ต่อเดือน
คนไข้ที่มีดัชนีมวลกาย (บีเอ็มอไอ) อยู่ที่ประมาณ 35 (มาตรฐานสำหรับผู้ชายคือ 20.1 และผู้หญิง 18.7) ลดไขมันส่วนเกินลงได้เฉลี่ย 14% ภายใน 6 เดือน และ 1 ใน 4 ลดได้กว่า 25% และมีหนึ่งคนลดไปถึง 37%
งานวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า การกระตุ้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้โดยไม่ต้องควบคุมอาหารหรือใช้วิธีบำบัดอื่นๆ
อิเล็กโทรดจะส่งผลให้เส้นประสาท vagus nerve ที่ควบคุมและรับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ ซึ่งรวมถึงระบบย่อยอาหารถูกบล็อก
เส้นประสาทนี้เป็นช่องทางการสื่อสารแบบสองทางระหว่างสมองกับระบบย่อยอาหาร และงานวิจัยบ่งชี้ว่า เส้นประสาทนี้มีความเกี่ยวข้องกับการขยายของกระเพาะอาหารเพื่อรองรับอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร การทำให้กระเพาะอาหารว่าง และความรู้สึกหิวและอิ่ม
วิธีบำบัดใหม่มีที่มาจากการบำบัดโรคแผลในกระเพาะอาหารระยะต้น ก่อนที่จะมีตัวยาทันสมัยออกมา ซึ่งคนไข้ถูกตรวจพบว่าเส้นประสาทใกล้กระเพาะอาหารเสียหายรุนแรง
ผลลัพธ์จากวิธีบำบัดดังกล่าวคือ คนไข้สามารถลดน้ำหนักและลดความอยากอาหารลงได้ เพียงแต่ผลลัพธ์นี้อยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากร่างกายจะปรับตัวและค้นหาวิธีสื่อสารแบบใหม่กับสมอง
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะทำให้เส้นประสาทถูกบล็อกเป็นระยะ ร่างกายจึงไม่พยายามค้นหาวิธีสื่อสารแบบใหม่กับสมอง
ในการทดลอง มีการกระตุ้นไฟฟ้าสลับกับการหยุดพักรวม 12 ชั่วโมง โดยในระหว่างการผ่าตัด จะมีการฝังอิเล็กโทรดที่เส้นประสาทสองเส้นที่ด้านหน้าและด้านหลังของหลอดลม ก่อนเชื่อมสายใต้ผิวหนังไปยังอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าขนาดจิ๋วซึ่งปกติแล้วศัลแพทย์ จะฝังไว้ให้แถวลำตัว
อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะถูกตั้งโปรแกรมให้ส่งพลังงานไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อกระตุ้นประสาทตามเวลาที่กำหนด
เมื่อคนไข้ลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญสามารถปิดระบบดังกล่าวแต่ฝังไว้ในร่างกายเช่นเดิม เผื่อสำหรับกรณีที่ต้องเปิดใช้ใหม่ หรือหากคนไข้ต้องการก็สามารถผ่าตัดออกมาได้
ในการทดลองเทคโนโลยีนี้ คนไข้ 31 คนได้รับการบำบัดด้วยการช็อตไฟฟ้า 5 นาทีและหยุดช็อต 5 นาทีสลับกันไปภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยขณะนี้นักวิจัยยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าวิธีบำบัดนี้ส่งผลต่อน้ำหนัก ตัวและการกินอาหารอย่างไร
หนึ่งในคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้คือ การบล็อกเส้นประสาทไม่ให้ส่งสัญญาณสื่อสารกับสมอง อาจจำกัดการขยายตัวของกระเพาะอาหารเมื่อคนไข้กินอาหาร ทำให้กินอาหารได้น้อยลง
หรือไม่เส้นประสาทดังกล่าวอาจมีบทบาทสำคัญต่อการหลั่งฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อการกินและความอยากอาหาร
นักวิจัยจากเมโย คลินิกในอเมริกา และศูนย์วิจัยอีก 8 แห่งที่ทำการบำบัดคนไข้เหล่านี้ กล่าวว่าคนไข้ที่ฝังอุปกรณ์กระตุ้นหิวน้อยลงระหว่างมื้อ และอิ่มเร็วขึ้นกว่าปกติ
“สิ่งที่น่าสังเกตคือ วิธีนี้ส่งผลต่อน้ำหนักตัวโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมอาหารหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่อย่างใด”
คนไข้ที่มีดัชนีมวลกาย (บีเอ็มอไอ) อยู่ที่ประมาณ 35 (มาตรฐานสำหรับผู้ชายคือ 20.1 และผู้หญิง 18.7) ลดไขมันส่วนเกินลงได้เฉลี่ย 14% ภายใน 6 เดือน และ 1 ใน 4 ลดได้กว่า 25% และมีหนึ่งคนลดไปถึง 37%
งานวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า การกระตุ้นประสาทด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้โดยไม่ต้องควบคุมอาหารหรือใช้วิธีบำบัดอื่นๆ
อิเล็กโทรดจะส่งผลให้เส้นประสาท vagus nerve ที่ควบคุมและรับความรู้สึกจากอวัยวะต่างๆ ซึ่งรวมถึงระบบย่อยอาหารถูกบล็อก
เส้นประสาทนี้เป็นช่องทางการสื่อสารแบบสองทางระหว่างสมองกับระบบย่อยอาหาร และงานวิจัยบ่งชี้ว่า เส้นประสาทนี้มีความเกี่ยวข้องกับการขยายของกระเพาะอาหารเพื่อรองรับอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร การทำให้กระเพาะอาหารว่าง และความรู้สึกหิวและอิ่ม
วิธีบำบัดใหม่มีที่มาจากการบำบัดโรคแผลในกระเพาะอาหารระยะต้น ก่อนที่จะมีตัวยาทันสมัยออกมา ซึ่งคนไข้ถูกตรวจพบว่าเส้นประสาทใกล้กระเพาะอาหารเสียหายรุนแรง
ผลลัพธ์จากวิธีบำบัดดังกล่าวคือ คนไข้สามารถลดน้ำหนักและลดความอยากอาหารลงได้ เพียงแต่ผลลัพธ์นี้อยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากร่างกายจะปรับตัวและค้นหาวิธีสื่อสารแบบใหม่กับสมอง
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจะทำให้เส้นประสาทถูกบล็อกเป็นระยะ ร่างกายจึงไม่พยายามค้นหาวิธีสื่อสารแบบใหม่กับสมอง
ในการทดลอง มีการกระตุ้นไฟฟ้าสลับกับการหยุดพักรวม 12 ชั่วโมง โดยในระหว่างการผ่าตัด จะมีการฝังอิเล็กโทรดที่เส้นประสาทสองเส้นที่ด้านหน้าและด้านหลังของหลอดลม ก่อนเชื่อมสายใต้ผิวหนังไปยังอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าขนาดจิ๋วซึ่งปกติแล้วศัลแพทย์ จะฝังไว้ให้แถวลำตัว
อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะถูกตั้งโปรแกรมให้ส่งพลังงานไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อกระตุ้นประสาทตามเวลาที่กำหนด
เมื่อคนไข้ลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญสามารถปิดระบบดังกล่าวแต่ฝังไว้ในร่างกายเช่นเดิม เผื่อสำหรับกรณีที่ต้องเปิดใช้ใหม่ หรือหากคนไข้ต้องการก็สามารถผ่าตัดออกมาได้
ในการทดลองเทคโนโลยีนี้ คนไข้ 31 คนได้รับการบำบัดด้วยการช็อตไฟฟ้า 5 นาทีและหยุดช็อต 5 นาทีสลับกันไปภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน โดยขณะนี้นักวิจัยยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าวิธีบำบัดนี้ส่งผลต่อน้ำหนัก ตัวและการกินอาหารอย่างไร
หนึ่งในคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้คือ การบล็อกเส้นประสาทไม่ให้ส่งสัญญาณสื่อสารกับสมอง อาจจำกัดการขยายตัวของกระเพาะอาหารเมื่อคนไข้กินอาหาร ทำให้กินอาหารได้น้อยลง
หรือไม่เส้นประสาทดังกล่าวอาจมีบทบาทสำคัญต่อการหลั่งฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเชื่อว่ามีผลต่อการกินและความอยากอาหาร
นักวิจัยจากเมโย คลินิกในอเมริกา และศูนย์วิจัยอีก 8 แห่งที่ทำการบำบัดคนไข้เหล่านี้ กล่าวว่าคนไข้ที่ฝังอุปกรณ์กระตุ้นหิวน้อยลงระหว่างมื้อ และอิ่มเร็วขึ้นกว่าปกติ
“สิ่งที่น่าสังเกตคือ วิธีนี้ส่งผลต่อน้ำหนักตัวโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมอาหารหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแต่อย่างใด”
1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่พยามยามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน และไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหารอยู่มาก
2.พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครั้งชั่วโมงแทน
3.เพื่อผลทางจิตวิทยา ควรใช้ภาชนะเล็กลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิม เพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็ก เพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้าๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น
4.หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มักมีความเชื่อผิดๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้น จะทำให้หิวเร็วและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเบื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง
5.สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดีๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วน หรือชุดสวยๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้น หรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด พยายามพักผ่อนให้มากๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี
2.พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครั้งชั่วโมงแทน
3.เพื่อผลทางจิตวิทยา ควรใช้ภาชนะเล็กลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิม เพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็ก เพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้าๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น
4.หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มักมีความเชื่อผิดๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้น จะทำให้หิวเร็วและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเบื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง
5.สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดีๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วน หรือชุดสวยๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้น หรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด พยายามพักผ่อนให้มากๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี
วิธีการลดน้ำหนักของบางคนอาจใช้วิธีคำนวณหรือนั่งนับแคลอรีของอาหารทุกจาน ทุกชิ้นที่รับประทาน ซึ่งหากใครทำได้โดยไม่รู้สึกว่าสร้างความเครียดและกดดันต่อตัวเองมากนัก การทำเช่นนี้ได้ก็ดี และควรทำต่อไป
แต่ถ้าหากใครรู้สึกว่าการพะวงนับแคลอรีมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและเป็นภาระมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญเขามีคำแนะนำง่ายๆ ที่จะทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้โดยไม่ต้องนั่งนับแคลอรี นั่นก็คือ พยายามรับประทานผลไม้และผักในทุกมื้ออาหาร เพราะผักและผลไม้มีเส้นใยมาก จะช่วยลดความอยากและหิวพร่ำเพรื่อได้
หากรับประทานอาหารประเภทสแน็ค ก็ควรเพิ่มโปรตีนเข้าไป เพราะสแน็คมักเป็นอาหารคั่นระหว่างมื้อก่อนถึงมื้อหลัก ซึ่งโปรตีนจะช่วยเพิ่มเลพติน อันเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรั้งความอยาก โดยเฉพาะความอยากอาหารหวานและมัน
จิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดแคลอรี ซึ่งแทนที่จะดื่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ก็หันไปหาน้ำเปล่าแทน
สุดท้ายก็อย่างที่ย้ำกันอยู่เสมอว่า ควรรับประทานมื้อหลักทุกมื้อ เพราะเมื่อใดที่ท้องเราว่างเกิน 5 ชั่วโมง ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งเรียกกันเล่นๆ ฮอร์โมน hangry อันเป็นการเล่นคำระหว่าง hungry และ angry เพราะฮอร์โมนนี้จะทำให้เราทั้งหิวและโกรธ ดังนั้นเราก็มักจะกินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันมักจะเป็นอาหารที่ทำให้อ้วน เช่นคุกกี้หรือของหวานอื่นๆ
แต่ถ้าหากใครรู้สึกว่าการพะวงนับแคลอรีมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเครียดและเป็นภาระมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญเขามีคำแนะนำง่ายๆ ที่จะทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้โดยไม่ต้องนั่งนับแคลอรี นั่นก็คือ พยายามรับประทานผลไม้และผักในทุกมื้ออาหาร เพราะผักและผลไม้มีเส้นใยมาก จะช่วยลดความอยากและหิวพร่ำเพรื่อได้
หากรับประทานอาหารประเภทสแน็ค ก็ควรเพิ่มโปรตีนเข้าไป เพราะสแน็คมักเป็นอาหารคั่นระหว่างมื้อก่อนถึงมื้อหลัก ซึ่งโปรตีนจะช่วยเพิ่มเลพติน อันเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรั้งความอยาก โดยเฉพาะความอยากอาหารหวานและมัน
จิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดแคลอรี ซึ่งแทนที่จะดื่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำตาล ก็หันไปหาน้ำเปล่าแทน
สุดท้ายก็อย่างที่ย้ำกันอยู่เสมอว่า ควรรับประทานมื้อหลักทุกมื้อ เพราะเมื่อใดที่ท้องเราว่างเกิน 5 ชั่วโมง ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งเรียกกันเล่นๆ ฮอร์โมน hangry อันเป็นการเล่นคำระหว่าง hungry และ angry เพราะฮอร์โมนนี้จะทำให้เราทั้งหิวและโกรธ ดังนั้นเราก็มักจะกินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมันมักจะเป็นอาหารที่ทำให้อ้วน เช่นคุกกี้หรือของหวานอื่นๆ
ใครจะเชื่อ กล้วยหอมเพียง 2 ใบ ช่วยลดหุ้นให้ดูเพรียวบางได้และกลายเป็นสูตรลดน้ำหนักสุดฮิตที่สาวหนุ่มแดน ซากุระแห่ทำตาม จนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครองหวังลดน้ำหนักได้เพรียวกัน ถ้วนหน้า
สูตรลดน้ำหนักที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไปไม่นานมานี้ แนะนำให้กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสามสิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน
"ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป" แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั้นแนลอธิบายความเป็นไปได้
กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม(ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้าก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้าอมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะจะสามารถปรับเปลี่วนพฤติกรรมการกิน ใสห้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างการและสมอง
"ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไปกินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้าที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น"
ในกล้วย นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝ่นใจกิน ใจขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่
นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนักขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสาม โมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูงในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้า เพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจึดตำลึง หรือข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น
สูตรลดน้ำหนักนี้ยังไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียนเนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการ โปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่างวัน โดยนักโภคชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนักอาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือ แตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน,ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด
"สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาการที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป" นักโภชนาการกล่าว
สูตรลดน้ำหนักที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไปไม่นานมานี้ แนะนำให้กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสามสิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน
"ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป" แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั้นแนลอธิบายความเป็นไปได้
กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม(ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้าก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้าอมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะจะสามารถปรับเปลี่วนพฤติกรรมการกิน ใสห้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างการและสมอง
"ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไปกินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้าที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น"
ในกล้วย นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝ่นใจกิน ใจขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่
นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนักขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสาม โมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูงในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้า เพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจึดตำลึง หรือข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น
สูตรลดน้ำหนักนี้ยังไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียนเนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการ โปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่างวัน โดยนักโภคชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนักอาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือ แตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน,ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด
"สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาการที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป" นักโภชนาการกล่าว
ถ้าอยากลดความอ้วน ไม่ต้องไปคิดหายากิน และออกกำลังให้ยุ่งยาก ใช้วิธีง่ายๆเปลี่ยนมาพุ้ยข้าวด้วยตะเกียบเสีย ก็จะทำได้ดังใจ
นายคิมิโกะ บาร์เบอร์ ตั้งต้นเป็นเจ้าตำรับการลดน้ำหนักด้วยตะเกียบ ผู้แต่งตำราเรื่อง “การควบคุมอาหารด้วยตะเกียบ” กล่าวถึงคุณของการกินด้วยตะเกียบว่า “มันจะทำให้เรากินได้ช้าลง และดังนั้นจะพลอยกินน้อยลงไปด้วย การใช้ตะเกียบยังทำให้ต้องกินด้วยคำเล็กลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้น ใช้เวลากินนานขึ้น และทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายขึ้น”
เขากล่าวยอมรับว่า การกินอาหารฝรั่งบางอย่างด้วยตะเกียบ คงจะลำบากน่าดู แต่ก็กลับเป็นการดี เพราะจะทำให้ต้องกินช้าลง มีเวลาคิดไตร่ตรองถึงอาหารมากขึ้น และช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงด้วย
นายคิมิโกะ บาร์เบอร์ ตั้งต้นเป็นเจ้าตำรับการลดน้ำหนักด้วยตะเกียบ ผู้แต่งตำราเรื่อง “การควบคุมอาหารด้วยตะเกียบ” กล่าวถึงคุณของการกินด้วยตะเกียบว่า “มันจะทำให้เรากินได้ช้าลง และดังนั้นจะพลอยกินน้อยลงไปด้วย การใช้ตะเกียบยังทำให้ต้องกินด้วยคำเล็กลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้น ใช้เวลากินนานขึ้น และทำให้กระเพาะย่อยได้ง่ายขึ้น”
เขากล่าวยอมรับว่า การกินอาหารฝรั่งบางอย่างด้วยตะเกียบ คงจะลำบากน่าดู แต่ก็กลับเป็นการดี เพราะจะทำให้ต้องกินช้าลง มีเวลาคิดไตร่ตรองถึงอาหารมากขึ้น และช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงด้วย
กลับมา รับบทนางเอกอีกครั้งในละคร เมียจำเป็น ของ บริษัท กันตนา น้ำฝน-กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ ก็มาพร้อมกับรูปร่างผอมเพรียวจนใคร ๆ อดถามไม่ได้ว่ามีเคล็ดลับในการลดความอ้วนอย่างไร ซึ่งน้ำฝนก็ชี้แจงให้หายสงสัยว่า
ฝนศึกษาเรื่องนี้มากเพราะเมื่อก่อนจะพยายามลดโดยการอดอาหาร หรือออกกำลังกาย แต่สำหรับฝนมันไม่ได้ผล อย่างฝนเคยเล่นเวตจนมีกล้ามเนื้อท้องก็ดูดีอยู่พักหนึ่ง แต่พอไม่มีเวลาเล่นหรือเลิกเล่นเนี่ยกล้ามเนื้อก็กลายเป็นไขมันทันที หรือเคยลองอดอาหาร 6 วัน แล้วกินวันเดียวก็ไม่ไหวเพราะ พอได้กินทีก็กินเยอะมาก ลดไม่ได้เลย ตอนหลังค้นพบว่า ถ้าเรากินแล้วนอนเลยเนี่ยอาหารมันจะไม่ย่อย ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนวิธีการกินใหม่คือพอฝนทานเสร็จก็จะนับไปเลย 3 ชม. แล้วค่อยนอน ไม่ใช่ทาน เสร็จแล้วนอนเลย แล้วก็มีวิธีการเลือกทานอาหารอย่างทานก๋วยเตี๋ยว ก็ไม่ใส่กระเทียมเจียว ทานเนื้อสัตว์ก็ต้องไม่ติดมัน อาหารพวกกะทิจะไม่แตะเลย ถ้าฝึกปฏิบัติอย่างนี้ประจำก็จะทำให้รูปร่างเราอยู่ตัวแล้วมันจะกลายเป็น นิสัยไปเอง อย่างฝนตอนนี้กลายเป็นคนไม่ชอบทานขนมไปเลยค่ะ
ฝนศึกษาเรื่องนี้มากเพราะเมื่อก่อนจะพยายามลดโดยการอดอาหาร หรือออกกำลังกาย แต่สำหรับฝนมันไม่ได้ผล อย่างฝนเคยเล่นเวตจนมีกล้ามเนื้อท้องก็ดูดีอยู่พักหนึ่ง แต่พอไม่มีเวลาเล่นหรือเลิกเล่นเนี่ยกล้ามเนื้อก็กลายเป็นไขมันทันที หรือเคยลองอดอาหาร 6 วัน แล้วกินวันเดียวก็ไม่ไหวเพราะ พอได้กินทีก็กินเยอะมาก ลดไม่ได้เลย ตอนหลังค้นพบว่า ถ้าเรากินแล้วนอนเลยเนี่ยอาหารมันจะไม่ย่อย ตอนนี้ก็เลยเปลี่ยนวิธีการกินใหม่คือพอฝนทานเสร็จก็จะนับไปเลย 3 ชม. แล้วค่อยนอน ไม่ใช่ทาน เสร็จแล้วนอนเลย แล้วก็มีวิธีการเลือกทานอาหารอย่างทานก๋วยเตี๋ยว ก็ไม่ใส่กระเทียมเจียว ทานเนื้อสัตว์ก็ต้องไม่ติดมัน อาหารพวกกะทิจะไม่แตะเลย ถ้าฝึกปฏิบัติอย่างนี้ประจำก็จะทำให้รูปร่างเราอยู่ตัวแล้วมันจะกลายเป็น นิสัยไปเอง อย่างฝนตอนนี้กลายเป็นคนไม่ชอบทานขนมไปเลยค่ะ
ความอ้วน ถ้าอ้วนมากถือเป็นโรคอย่างหนึ่ง เพราะจะมีโรคต่างๆ ตามมาอีกมาก ถ้าเอาความอ้วนออกไป โรคเหล่านั้นก็จะหายตามไปด้วย
การดูว่าตนเองอ้วนหรือไม่ ให้เอาน้ำหนักตัวที่เป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตร ๒ครั้ง ออกมาเป็น `ดัชนีมวลกาย' ถ้าน้อยกว่า ๑๘.๕ ถือว่าผอมเกินไป ระหว่าง ๑๘.๕ - ๒๔.๙ ถือว่าปกติ ถ้า ๒๕ - ๒๙.๙ ถือว่าเกิน เรียกว่า `ท้วม' ยังไม่อ้วน แต่ถ้า ๓๐ ขึ้นไปถือว่าอ้วน ทั้งหญิงและชายใช้สูตรเดียวกัน หรือการดูง่ายๆ โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบบริเวณพุง ถ้าหนากว่า ๑ นิ้ว แสดงว่าอ้วนแล้ว หรือถอดเสื้อผ้าออกหน่อย แล้วกระโดด ตรงไหนสั่นก็ถือว่าอ้วน
แต่เมื่อเทียบกับคนในซีกโลกตะวันตก คนไทยอาจไม่อ้วนเท่า เพาะอาหารช่วยได้มาก เช่น แกงส้มผักมีเส้นใยเยอะ เป็นต้น แต่ที่คนไทยอ้วนเพราะส่วนใหญ่เกิดจากแป้ง ของหวาน อาหารพวกไขมัน ที่กินกันโดยไม่ทราบว่ามีมาก เช่น ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ และอาหารฝรั่ง
อาหารจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้คนอ้วนมากที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย
การลดความอ้วน ควรวางแผนว่าน้ำหนักที่เกินไปนั้น มากน้อยเพียงใด ใช้ส่วนสูงเป็นเกณฑ์ก็ง่ายดี เช่น สูง ๑๖๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นผู้หญิงที่กระดูกโครงร่างไม่ใหญ่ก็ลบด้วย ๑๑๐ เหลือ๕๐ กิโลกรัม เกินไปเท่าใดก็วางแผนว่า จะลดประมาณครึ่งหรือหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ แล้ววางแผนระยะสั้น เช่น หนัก ๘๐ กิโลกรัม แต่น้ำหนักที่ควรจะเป็นคือ ๕๐ กิโลกรัม เกินไป ๓๐ กิโลกรัม ถ้าคิดว่าลดครั้งเดียว ๓๐ กิโลกรัม จะทำให้หมดกำลังใจ ก็อาจแบ่งเป็น ๕ กิโลกรัม ครึ่งหรือหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ประมาณ ๖ สัปดาห์ ห้ากิโลกรัมก็น่าจะได้
ผู้มีแรงจูงใจที่ดี มีคนรอบข้างให้ความร่วมมือ มีความรู้เพียงพอว่าอาหารชนิดใดแคลอรีประมาณเท่าใด การออกกำลังกายชนิดไหนจะเผาผลาญพลังงานออกมาได้เท่าใดก็คงจะทำได้
ส่วนใหญ่ที่พบ เขาพยายามอย่างที่สุด แต่ไม่สำเร็จ สองปีลดลง ๑ - ๒ กิโลกรัม แล้วก็ขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จึงมาพบแพทย์
สิ่งที่แพทย์ทำ คือศึกษาเข้าไปในชีวิตของเขาเพื่อหาจุดอ่อน แล้วชี้ให้เห็น ให้พยายามแก้เพราะคนอ้วนมีสาเหตุแตกต่างหลากหลาย ที่กล่าวกว้างๆ ว่าอ้วนจากอาหารนั้น อาหารในแต่ละคนก็แตกต่างกัน สาเหตุที่แต่ละคนกินมากก็แตกต่างกันอีก เครียดก็กิน บางคนอดทั้งวัน พอตอนเย็นก็รื้อกินเรียบเลย ส่วนใหญ่เขาไม่ทราบว่า ที่กินนั้นมากน้อยเพียงใด แพทย์จึงต้องถามว่าได้กินอะไรไปบ้าง แล้วดึงออกมาให้เห็น
ตัวอย่างที่เข้าใจผิดบ่อยๆ คือน้ำมันพืช ความจริงแคลอรีเท่ากับน้ำมันหมู อาหารพวกแป้งทั้งหลาย บางคนกินแต่วุ้นเส้น คิดว่าโปรตีน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ผลไม้หวานๆ ก็เช่นกัน ไม่กินของคาว แต่ไปกินผลไม้ แต่ถ้าผลไม้นั้นหวานก็ลดความอ้วนไม่สำเร็จ จึงควรรู้แคลอรีในอาหาร
อีกอย่างหนึ่ง จะต้องมีโภชนาการที่ถูกต้อง บางคนลดความอ้วนด้วยการกินเปรี้ยว คิดว่าจะไปละลายไขมัน บางคนไปอบร่างกาย คิดว่าความร้อนจะช่วยละลายไขมัน บางคนไปซื้อเครื่องมือมาออกกำลังกายให้ตัวเอง เพราะขี้เกียจออกกำลังกาย เช่น เครื่องมือเขย่าตัวหรือนอนแล้วเอาตัวพาด ปล่อยให้มันแกว่ง อันนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
รถยนต์เติมน้ำมันเต็มถังจอดอยู่ แต่ไม่ติดเครื่อง แล้วเข็นให้รถวิ่ง ก็วิ่งจริง แต่ไม่ได้ใช้น้ำมันเลย ดังนั้น การคิดว่าได้ออกกำลังกาย เพราะได้แกว่งแล้ว แต่ไม่ได้ยกกล้ามเนื้อเอง อาศัยเครื่องเขย่าขาเขย่าพุงให้ ไม่ใช่การออกกำลังกาย และยังอาจอันตราย เคยพบคนที่ไขข้อสันหลังไม่แข็งแรง บางทีก็แย่เหมือนกัน
คำแนะนำของแพทย์ก็ไม่จุกจิกกับเขามากเกินไป คนเรามักจะยุ่งอยู่แล้ว แต่จะให้มีความรู้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไป ขณะเดียวกันก็พยายามแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน คือกินช้าๆ อย่างมีสติ กินได้ ๓ มื้อ ไม่ต้องอดอาหาร เพราะบางคนอดมื้อเย็นหรือมื้อกลางวัน แต่กินมื้ออื่นทดแทนไปแล้ว
การลดน้ำหนัก ถ้ามองในมุมบวกจะสนุก
รายที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่น อาจจะหิวมาก อิ่มยากนั้น ในสมองคนจะมี ๒ ศูนย์ หนึ่งคือศูนย์หิว อีกหนึ่งคือศูนย์อิ่ม บางคนจะเสียที่ศูนย์อิ่ม ไม่ค่อยกิน แต่พอเริ่มกินก็จะหยุดไม่ได้ หรือบางคนหิวบ่อยจะกินทั้งวัน บางคนเป็นทั้งสอง ทั้ง `เบรกแตก' คืออิ่มยาก และ `ไวไฟ' คือกินทั้งวัน
กรณีนี้ แพทย์จะช่วยไม่ให้เขาทรมาณ แต่จะไม่ให้ยาที่แรงๆ พวกอนุพันธุ์ยาม้าที่ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับจะไม่พยายามใช้เลย การใช้ก็เหมือนกับสถานการณ์เทียมที่สร้างให้เกิดขึ้น น้ำหนักจะลดลงแบบโทรมๆ นอนไม่ได้ ต้องกินยานอนหลับ ท้องผูก ต้องกินยาถ่าย ไม่ดีและไม่คุ้ม ถ้าหยุดยาจะกลับมาอ้วนและอ้วนกว่าเดิม ความหิวที่เคยเป็นอยู่จะมากกว่าเดิม หนึ่งสัปดาห์น้ำหนักอาจขึ้นประมาณ ๒ - ๓ กิโลกรัม เสียหายต่อจิตใจ อุตส่าห์ลดแทบเป็นแทบตาย แล้วก็ขึ้นมาใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
แล้วลดความอ้วนอย่างไรให้ได้ผลถาวร?
เราจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ต้องกินเป็นมื้อ ไม่อด แต่จะเลือกอาหาร กินช้าๆเคี้ยวให้ละเอียด ระยะเวลาที่อาหารถึงกระเพาะ ย่อยเสร็จสรรพ สมองจะส่งสัญญาณว่าได้รับอาหารแล้ว อิ่มแล้ว ประมาณ ๒๐ นาที
คนอ้วนกินเร็วมาก เคี้ยวหยาบๆ แล้วก็กลืน ๕ นาที สมองก็สั่งแล้วว่าหิว ที่จริงมันย่อยไปสักชามก็จะอิ่มแล้ว ที่เหลือก็คือ `ความจุก'
ดังนั้น การกินช้ามีผลมาก ถ้าต้องการผอมแบบถาวร ต้องปรับพฤติกรรมใหม่ โดยเริ่มกินช้าๆ ต้องฝึกกันตั้งแต่วางอาวุธ วางช้อน วางส้อม ค่อยๆ กิน ต้องสังเกตว่า หายหิวแล้ว ก็ให้หยุด
สิ่งที่พบบ่อยคือเสียดายของ เตรียมอาหารให้ลูกๆ แต่พอลูกไม่กินก็เก็บกินหมด ต้องไม่ทำตัวเป็นถังขยะ เที่ยวเก็บของเหลือกิน แล้วเป็นโทษเป็นภัย ไม่คุ้ม จึงต้องแก้ว่า จะทำอาหารอย่างไรให้พอดีกันกับที่ทุกคนกินหมด
สรุปก็คือ ปรับพฤติกรรมการกินเป็นมื้อ รู้จักเลือกกินโปรตีนที่เป็นเนื้อสีขาว ซึ่งจะอ้วนน้อยกว่าเนื้อสีแดง พวกเนื้อเนื้อหมู เนื้อวัว ที่เห็นว่าไม่มี `มัน' แต่จริงๆ แล้ว มีไขมันอยู่ร้อยละ ๓๐
ระยะที่ลดน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงพวกนี้ แล้วกินปลาแทน ปลาที่เคยทอดก็เปลี่ยนเป็นนึ่ง หรือเป็นแกงจืดดีกว่าจะนำไปผัด ผักที่เป็นแกงจืดจะมีแคลอรีน้อยกว่า
ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ๑ จาน ประมาณ ๕๐๐ - ๖๐๐ แคลอรี แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ ประมาณ ๒๐๐ แคลอรี
ให้คิดตลอดเวลาว่าอาหารจารนี้แคลอรีเท่าใด บุฟเฟต์ก็เหมือนกัน จริงๆ แล้ว อาหารประเภทบุฟเฟต์ไม่เหมาะกับคนที่จะลดน้ำหนัก แต่ถ้าจำเป็นต้องไปกิน ให้เดินสักรอบ แล้วเลือกชนิดที่แคลอรีน้อย ไม่ใช่ตักทุกอย่างที่เขาตั้งไว้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผักและผลไม้ที่มีรสหวาน ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
อีกประการหนึ่ง คือการออกกำลังกาย ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับนิสัยของเรา ฝืนทำเล็กน้อยให้ได้ทุกวันวันละประมาณ๒๐นาที เป็นอย่างต่ำ ภายในสองสัปดาห์จะเห็นว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น จะสบายตัว กระปี้กระเปร่า ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
ส่วนกิจกรรมอื่น เวลาไปไหนต้องพยายามแทรกสิ่งเหล่านี้เข้าไปในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้การเดินแทนการขึ้นลิฟต์ อยู่ชั้น ๖ จะลงมาชั้น ๔ ก็เดินขึ้นลงแทน ถ้ามีบันไดเลื่อนอยู่ใกล้บันไดปกติก็เลือกเดินขึ้นบันได พยายามดึงสิ่งเหล่านี้เข้ามา อาจเดินไปตลาดแทนการขึ้นรถเมล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ต้องเลือกอะไรที่เหมาะสมกับเราด้วย
(เรียบเรียงจากการให้สัมภาษณ์ในรายการ `ตามตะวัน' โดย พ.อ. รศ. พญ. พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อและโรคอ้วน โรงพยาบาลพระมงกุฎ)
คุณค่าอาหารไทยเพื่อสุขภาพ
การศึกษาวิจัยเรื่อง `อาหารไทยเพื่อสุขภาพ' โดย ดร. สมศรี เจริญเกียรติกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ พบว่า อาหารไทยมีความเหมาะสมกับสุขภาพ คือ คนไทยนิยมกินข้าวร่วมกับ `กับข้าว' เป็นสำรับ มีอาหารอย่างน้อย ๒ - ๓ อย่าง ความหลากหลายของชนิดอาหารทำให้การกินอาหารของคนไทยสามารถสับเปลี่ยนหมุน เวียนรายการอาหารได้มาก ดังนั้น อาหารไทยในแต่ละมื้อจึงถือได้ว่ามีครบแทบทุกหมู่ ทำให้ได้รับสารอาหารค่อนข้างครบถ้วน
การวิเคราะห์คุณค่าอาหารไทยพื้นเมืองที่นิยมของแต่ละภาค พบว่า มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับเป็นอาหารหนึ่งมื้อ โดยมีปริมาณที่ได้รับไม่มากจนเกินไป และสัดส่วนของพลังงานที่ได้จากสารอาหารหลักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
นอกจากคุณประโยชน์ของอาหารไทยด้านโภชนาการแล้ว การใช้สิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาช่วยในการปรุงแต่งอาหาร เช่น สีจากดอกไม้ ใบไม้ การใช้ยางมะละกอทำให้เนื้อเปื่อย การใช้น้ำปูนใสทำให้อาหารกรอบ เป็นต้น สารต่างๆ เหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสชาติและสีสันสวยงามแล้ว ยังมีความปลอดภัยกว่าการใช้สารสังเคราะห์ต่างๆ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของอาหารไทย คือการใช้เครื่องเทศต่างๆ นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสและกลิ่นตามที่ต้องการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณในทางยา เช่น
- กระเทียม มีฤทธิ์อย่างอ่อนในการลดระดับไขมันในเลือดลดความดันโลหิต จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองพบว่า สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในหลอดทดลองได้
- พริกสด สามารถยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด
- ขิง มีฤทธิ์ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- ตะไคร้ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง เป็นต้น
การดูว่าตนเองอ้วนหรือไม่ ให้เอาน้ำหนักตัวที่เป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตร ๒ครั้ง ออกมาเป็น `ดัชนีมวลกาย' ถ้าน้อยกว่า ๑๘.๕ ถือว่าผอมเกินไป ระหว่าง ๑๘.๕ - ๒๔.๙ ถือว่าปกติ ถ้า ๒๕ - ๒๙.๙ ถือว่าเกิน เรียกว่า `ท้วม' ยังไม่อ้วน แต่ถ้า ๓๐ ขึ้นไปถือว่าอ้วน ทั้งหญิงและชายใช้สูตรเดียวกัน หรือการดูง่ายๆ โดยใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้หนีบบริเวณพุง ถ้าหนากว่า ๑ นิ้ว แสดงว่าอ้วนแล้ว หรือถอดเสื้อผ้าออกหน่อย แล้วกระโดด ตรงไหนสั่นก็ถือว่าอ้วน
แต่เมื่อเทียบกับคนในซีกโลกตะวันตก คนไทยอาจไม่อ้วนเท่า เพาะอาหารช่วยได้มาก เช่น แกงส้มผักมีเส้นใยเยอะ เป็นต้น แต่ที่คนไทยอ้วนเพราะส่วนใหญ่เกิดจากแป้ง ของหวาน อาหารพวกไขมัน ที่กินกันโดยไม่ทราบว่ามีมาก เช่น ไส้กรอก แฮมเบอร์เกอร์ และอาหารฝรั่ง
อาหารจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้คนอ้วนมากที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย
การลดความอ้วน ควรวางแผนว่าน้ำหนักที่เกินไปนั้น มากน้อยเพียงใด ใช้ส่วนสูงเป็นเกณฑ์ก็ง่ายดี เช่น สูง ๑๖๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นผู้หญิงที่กระดูกโครงร่างไม่ใหญ่ก็ลบด้วย ๑๑๐ เหลือ๕๐ กิโลกรัม เกินไปเท่าใดก็วางแผนว่า จะลดประมาณครึ่งหรือหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ แล้ววางแผนระยะสั้น เช่น หนัก ๘๐ กิโลกรัม แต่น้ำหนักที่ควรจะเป็นคือ ๕๐ กิโลกรัม เกินไป ๓๐ กิโลกรัม ถ้าคิดว่าลดครั้งเดียว ๓๐ กิโลกรัม จะทำให้หมดกำลังใจ ก็อาจแบ่งเป็น ๕ กิโลกรัม ครึ่งหรือหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ประมาณ ๖ สัปดาห์ ห้ากิโลกรัมก็น่าจะได้
ผู้มีแรงจูงใจที่ดี มีคนรอบข้างให้ความร่วมมือ มีความรู้เพียงพอว่าอาหารชนิดใดแคลอรีประมาณเท่าใด การออกกำลังกายชนิดไหนจะเผาผลาญพลังงานออกมาได้เท่าใดก็คงจะทำได้
ส่วนใหญ่ที่พบ เขาพยายามอย่างที่สุด แต่ไม่สำเร็จ สองปีลดลง ๑ - ๒ กิโลกรัม แล้วก็ขึ้นลงอยู่อย่างนั้น จึงมาพบแพทย์
สิ่งที่แพทย์ทำ คือศึกษาเข้าไปในชีวิตของเขาเพื่อหาจุดอ่อน แล้วชี้ให้เห็น ให้พยายามแก้เพราะคนอ้วนมีสาเหตุแตกต่างหลากหลาย ที่กล่าวกว้างๆ ว่าอ้วนจากอาหารนั้น อาหารในแต่ละคนก็แตกต่างกัน สาเหตุที่แต่ละคนกินมากก็แตกต่างกันอีก เครียดก็กิน บางคนอดทั้งวัน พอตอนเย็นก็รื้อกินเรียบเลย ส่วนใหญ่เขาไม่ทราบว่า ที่กินนั้นมากน้อยเพียงใด แพทย์จึงต้องถามว่าได้กินอะไรไปบ้าง แล้วดึงออกมาให้เห็น
ตัวอย่างที่เข้าใจผิดบ่อยๆ คือน้ำมันพืช ความจริงแคลอรีเท่ากับน้ำมันหมู อาหารพวกแป้งทั้งหลาย บางคนกินแต่วุ้นเส้น คิดว่าโปรตีน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ผลไม้หวานๆ ก็เช่นกัน ไม่กินของคาว แต่ไปกินผลไม้ แต่ถ้าผลไม้นั้นหวานก็ลดความอ้วนไม่สำเร็จ จึงควรรู้แคลอรีในอาหาร
อีกอย่างหนึ่ง จะต้องมีโภชนาการที่ถูกต้อง บางคนลดความอ้วนด้วยการกินเปรี้ยว คิดว่าจะไปละลายไขมัน บางคนไปอบร่างกาย คิดว่าความร้อนจะช่วยละลายไขมัน บางคนไปซื้อเครื่องมือมาออกกำลังกายให้ตัวเอง เพราะขี้เกียจออกกำลังกาย เช่น เครื่องมือเขย่าตัวหรือนอนแล้วเอาตัวพาด ปล่อยให้มันแกว่ง อันนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
รถยนต์เติมน้ำมันเต็มถังจอดอยู่ แต่ไม่ติดเครื่อง แล้วเข็นให้รถวิ่ง ก็วิ่งจริง แต่ไม่ได้ใช้น้ำมันเลย ดังนั้น การคิดว่าได้ออกกำลังกาย เพราะได้แกว่งแล้ว แต่ไม่ได้ยกกล้ามเนื้อเอง อาศัยเครื่องเขย่าขาเขย่าพุงให้ ไม่ใช่การออกกำลังกาย และยังอาจอันตราย เคยพบคนที่ไขข้อสันหลังไม่แข็งแรง บางทีก็แย่เหมือนกัน
คำแนะนำของแพทย์ก็ไม่จุกจิกกับเขามากเกินไป คนเรามักจะยุ่งอยู่แล้ว แต่จะให้มีความรู้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไป ขณะเดียวกันก็พยายามแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน คือกินช้าๆ อย่างมีสติ กินได้ ๓ มื้อ ไม่ต้องอดอาหาร เพราะบางคนอดมื้อเย็นหรือมื้อกลางวัน แต่กินมื้ออื่นทดแทนไปแล้ว
การลดน้ำหนัก ถ้ามองในมุมบวกจะสนุก
รายที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เช่น อาจจะหิวมาก อิ่มยากนั้น ในสมองคนจะมี ๒ ศูนย์ หนึ่งคือศูนย์หิว อีกหนึ่งคือศูนย์อิ่ม บางคนจะเสียที่ศูนย์อิ่ม ไม่ค่อยกิน แต่พอเริ่มกินก็จะหยุดไม่ได้ หรือบางคนหิวบ่อยจะกินทั้งวัน บางคนเป็นทั้งสอง ทั้ง `เบรกแตก' คืออิ่มยาก และ `ไวไฟ' คือกินทั้งวัน
กรณีนี้ แพทย์จะช่วยไม่ให้เขาทรมาณ แต่จะไม่ให้ยาที่แรงๆ พวกอนุพันธุ์ยาม้าที่ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับจะไม่พยายามใช้เลย การใช้ก็เหมือนกับสถานการณ์เทียมที่สร้างให้เกิดขึ้น น้ำหนักจะลดลงแบบโทรมๆ นอนไม่ได้ ต้องกินยานอนหลับ ท้องผูก ต้องกินยาถ่าย ไม่ดีและไม่คุ้ม ถ้าหยุดยาจะกลับมาอ้วนและอ้วนกว่าเดิม ความหิวที่เคยเป็นอยู่จะมากกว่าเดิม หนึ่งสัปดาห์น้ำหนักอาจขึ้นประมาณ ๒ - ๓ กิโลกรัม เสียหายต่อจิตใจ อุตส่าห์ลดแทบเป็นแทบตาย แล้วก็ขึ้นมาใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
แล้วลดความอ้วนอย่างไรให้ได้ผลถาวร?
เราจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ต้องกินเป็นมื้อ ไม่อด แต่จะเลือกอาหาร กินช้าๆเคี้ยวให้ละเอียด ระยะเวลาที่อาหารถึงกระเพาะ ย่อยเสร็จสรรพ สมองจะส่งสัญญาณว่าได้รับอาหารแล้ว อิ่มแล้ว ประมาณ ๒๐ นาที
คนอ้วนกินเร็วมาก เคี้ยวหยาบๆ แล้วก็กลืน ๕ นาที สมองก็สั่งแล้วว่าหิว ที่จริงมันย่อยไปสักชามก็จะอิ่มแล้ว ที่เหลือก็คือ `ความจุก'
ดังนั้น การกินช้ามีผลมาก ถ้าต้องการผอมแบบถาวร ต้องปรับพฤติกรรมใหม่ โดยเริ่มกินช้าๆ ต้องฝึกกันตั้งแต่วางอาวุธ วางช้อน วางส้อม ค่อยๆ กิน ต้องสังเกตว่า หายหิวแล้ว ก็ให้หยุด
สิ่งที่พบบ่อยคือเสียดายของ เตรียมอาหารให้ลูกๆ แต่พอลูกไม่กินก็เก็บกินหมด ต้องไม่ทำตัวเป็นถังขยะ เที่ยวเก็บของเหลือกิน แล้วเป็นโทษเป็นภัย ไม่คุ้ม จึงต้องแก้ว่า จะทำอาหารอย่างไรให้พอดีกันกับที่ทุกคนกินหมด
สรุปก็คือ ปรับพฤติกรรมการกินเป็นมื้อ รู้จักเลือกกินโปรตีนที่เป็นเนื้อสีขาว ซึ่งจะอ้วนน้อยกว่าเนื้อสีแดง พวกเนื้อเนื้อหมู เนื้อวัว ที่เห็นว่าไม่มี `มัน' แต่จริงๆ แล้ว มีไขมันอยู่ร้อยละ ๓๐
ระยะที่ลดน้ำหนักควรหลีกเลี่ยงพวกนี้ แล้วกินปลาแทน ปลาที่เคยทอดก็เปลี่ยนเป็นนึ่ง หรือเป็นแกงจืดดีกว่าจะนำไปผัด ผักที่เป็นแกงจืดจะมีแคลอรีน้อยกว่า
ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ๑ จาน ประมาณ ๕๐๐ - ๖๐๐ แคลอรี แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ ประมาณ ๒๐๐ แคลอรี
ให้คิดตลอดเวลาว่าอาหารจารนี้แคลอรีเท่าใด บุฟเฟต์ก็เหมือนกัน จริงๆ แล้ว อาหารประเภทบุฟเฟต์ไม่เหมาะกับคนที่จะลดน้ำหนัก แต่ถ้าจำเป็นต้องไปกิน ให้เดินสักรอบ แล้วเลือกชนิดที่แคลอรีน้อย ไม่ใช่ตักทุกอย่างที่เขาตั้งไว้
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องผักและผลไม้ที่มีรสหวาน ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
อีกประการหนึ่ง คือการออกกำลังกาย ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับนิสัยของเรา ฝืนทำเล็กน้อยให้ได้ทุกวันวันละประมาณ๒๐นาที เป็นอย่างต่ำ ภายในสองสัปดาห์จะเห็นว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น จะสบายตัว กระปี้กระเปร่า ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
ส่วนกิจกรรมอื่น เวลาไปไหนต้องพยายามแทรกสิ่งเหล่านี้เข้าไปในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้การเดินแทนการขึ้นลิฟต์ อยู่ชั้น ๖ จะลงมาชั้น ๔ ก็เดินขึ้นลงแทน ถ้ามีบันไดเลื่อนอยู่ใกล้บันไดปกติก็เลือกเดินขึ้นบันได พยายามดึงสิ่งเหล่านี้เข้ามา อาจเดินไปตลาดแทนการขึ้นรถเมล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ต้องเลือกอะไรที่เหมาะสมกับเราด้วย
(เรียบเรียงจากการให้สัมภาษณ์ในรายการ `ตามตะวัน' โดย พ.อ. รศ. พญ. พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้เชี่ยวชาญโรคข้อและโรคอ้วน โรงพยาบาลพระมงกุฎ)
คุณค่าอาหารไทยเพื่อสุขภาพ
การศึกษาวิจัยเรื่อง `อาหารไทยเพื่อสุขภาพ' โดย ดร. สมศรี เจริญเกียรติกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะ สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ พบว่า อาหารไทยมีความเหมาะสมกับสุขภาพ คือ คนไทยนิยมกินข้าวร่วมกับ `กับข้าว' เป็นสำรับ มีอาหารอย่างน้อย ๒ - ๓ อย่าง ความหลากหลายของชนิดอาหารทำให้การกินอาหารของคนไทยสามารถสับเปลี่ยนหมุน เวียนรายการอาหารได้มาก ดังนั้น อาหารไทยในแต่ละมื้อจึงถือได้ว่ามีครบแทบทุกหมู่ ทำให้ได้รับสารอาหารค่อนข้างครบถ้วน
การวิเคราะห์คุณค่าอาหารไทยพื้นเมืองที่นิยมของแต่ละภาค พบว่า มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับเป็นอาหารหนึ่งมื้อ โดยมีปริมาณที่ได้รับไม่มากจนเกินไป และสัดส่วนของพลังงานที่ได้จากสารอาหารหลักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
นอกจากคุณประโยชน์ของอาหารไทยด้านโภชนาการแล้ว การใช้สิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาช่วยในการปรุงแต่งอาหาร เช่น สีจากดอกไม้ ใบไม้ การใช้ยางมะละกอทำให้เนื้อเปื่อย การใช้น้ำปูนใสทำให้อาหารกรอบ เป็นต้น สารต่างๆ เหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสชาติและสีสันสวยงามแล้ว ยังมีความปลอดภัยกว่าการใช้สารสังเคราะห์ต่างๆ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของอาหารไทย คือการใช้เครื่องเทศต่างๆ นอกจากจะช่วยให้อาหารมีรสและกลิ่นตามที่ต้องการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณในทางยา เช่น
- กระเทียม มีฤทธิ์อย่างอ่อนในการลดระดับไขมันในเลือดลดความดันโลหิต จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองพบว่า สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งในหลอดทดลองได้
- พริกสด สามารถยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด
- ขิง มีฤทธิ์ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- ตะไคร้ ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)